เอเอฟพี - ชินโซ อาเบะ กลายเป็นนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นคนแรกในประวัติศาสตร์ที่ขึ้นกล่าวปราศรัยต่อที่ประชุมร่วมสภาคองเกรสสหรัฐฯเมื่อวันพุธ(29เม.ย.) ขณะที่เขาแสวงหาความสัมพันธ์อันลึกซึ้งระหว่างสองชาติท่ามกลางข้อถกเถียงเกี่ยวกับมุมมองของเขาต่อสงครามโลกครั้งที่ 2
นาอาเบะกล่าวปราศรัยเป็นภาษาอังกฤษ ย้ำว่าความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างสองประเทศที่หล่อหลอมอย่างช้าๆจากเถ้าถ่านที่ยังคุกรุ่นอยู่ของสมรภูมิรบอันโหดร้ายทั้งหลายอย่าง เพิร์ล ฮาร์เบอร์และอิโวจิมา พร้อมกล่าวโทษอย่างจริงใจต่อการกระทำของญี่ปุ่น
"ในนามของญี่ปุ่นและประชาชนชาวญี่ปุ่น ด้วยความเคารพอย่างสุดซึ้ง ผมขอแสดงความเสียใจกัลปาวสานต่อดวงวิญญาณของประชาชนอเมริกันทุกคนที่เสียชีวิตระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2" เขากล่าวท่ามกลางเสียงปรบมือดังกึกก้องจากสมาชิกสภาสหรัฐฯ
ไม่นานก่อนเดินทางมาถึงอาคารรัฐสภา อาเบะดำเนินการเชิงสัญลักษณ์ด้วยการไปวางพวงรีดที่อนุสรณ์สถานสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งคร่าชีวิตพลเมืองอเมริกันราวๆ 400,000 คน "ศิลาจารึกที่อนุสรณ์ แวบเข้ามาในความคิดของผม และผมใคร่ครวญถึงคนหนุ่มสาวอเมริกันเหล่านี้ที่ต้องสูญเสียความหวังและอนาคต ประวัติศาสตร์คือความเจ็บปวด สิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้วมิอาจแก้ไขได้ ด้วยความสำนึกผิดในหัวใจ ผมขอยืนภาวนาในความเงียบสักครู่" อาเบะกล่าว
อย่างไรก็ตามการกระทำของญี่ปุ่นในเอเชียระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้บดบังการปราศรัยครั้งประวัติศาสตร์ของเขาหนนี้ โดยในคองเกรส อาเบะ ต้องเผชิญหน้ากับลี ยูง-ซู วัย 87 ปี หนึ่งในผู้หญิงเอเชียราว 200,000 คน ที่ถูกบังคับเป็นทาสบำเรอกามแก่ทหารญี่ปุ่นผู้รุกราน
อาเบะ แสดงความสำนึกผิดต่อบรรดาผู้หญิงที่เคยตกเป็นทาสกามในซ่องทหารญี่ปุ่น ซึ่งถือเป็นประเด็นละเอียดอ่อนที่จีนและเกาหลีใต้ประณามโตเกียวตลอดมา แต่จนแล้วจนรอด อาเบะ ก็ไม่ได้กล่าวขออภัยในนามรัฐบาลของเขาเองตามคำเรียกร้องจากหลายฝ่าย
ทั้งนี้ท่าทีดังกล่าวเป็นการยืนยันจุดยืนของเขาที่พยายามจะบอกว่า ซ่องโสเภณีในกองทัพญี่ปุ่นยุคนั้นเป็นฝีมือการจัดหาของพวกแก๊งค้ามนุษย์ รัฐบาลหรือกองทัพไม่ได้เกี่ยวข้อง
"หลังสงคราม เราเริ่มนึกถึงความรู้สึกสำนึกอย่างสุดซึ้งต่อสงคราม" เขาบอกกลางที่ประชุมร่วม "การกระทำของเรานำความเจ็บปวดทุกข์ทรมานมาสู่ประเทศต่างๆในเอเชีย เราไม่อาจหลบตาจากสิ่งนั้นได้"
อย่างไรก็ตามมีเสียงขุ่นเคืองบางส่วนในสภาคองเกรส ในนั้นรวมถึงส.ส.ไมค์ ฮอนด้า ที่บอกว่าช็อคและอดสูที่อาเบะยังคงบอกปัดความรับผิดชอบของรัฐบาลของเขา ต่อความชั่วร้ายที่กองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่นก่อกรรมทำเข็ญเอาไว้