xs
xsm
sm
md
lg

ญี่ปุ่นเมิน ผู้นำโสมขาวร้องขอคำขอโทษ "เหยื่อกามทหาร" สมัยสงครามโลก

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


เอเอฟพี – รัฐบาลญี่ปุ่นเพิกเฉยต่อการที่ประธานาธิบดี พัค กึนฮเย แห่งเกาหลีใต้ออกมาเรียกร้องอีกครั้งให้พวกเขาขอโทษต่อบรรดาทาสบำเรอกามช่วงสงคราม พร้อมกับกล่าวในวันนี้ (2) ว่า โตเกียวคาดหวังว่าโซลจะปรับเปลี่ยนมุมมองเสียใหม่

“เราได้เคยอธิบายถึงจุดยืนของเราไปหลายครั้งแล้ว เราต้องการที่จะสานต่อความพยายามทางการทูตของเราต่อไป เพื่อให้มุมมองของเราได้รับความเข้าใจ” โยชิฮิเดะ สุกะ เลขาธิการคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่น ระบุ

ความคิดเห็นดังกล่าวมีออกมาเพื่อเป็นการตอบสนองต่อการที่ พัค ออกมาเรียกร้องเมื่อช่วงสุดสัปดาห์นี้ให้ญี่ปุ่นแก้ไขปัญหาต่างๆ เกี่ยวกับเหล่าสตรีที่ถูกบังคับให้บริการทางเพศกับทหารญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2

นักประวัติศาสตร์กระแสหลัก ระบุว่า ผู้หญิงมากถึง 200,000 คน ซึ่งส่วนใหญ่มาจากเกาหลี , จีน , อินโดนีเซีย และประเทศอื่นๆ ในเอเชีย ถูกบังคับให้เข้าสู่ระบบทาสกามในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2

โตเกียวยืนกรานว่า สนธิสัญญากับโซลปี 1965 ซึ่งได้รับลงนามเมื่อทั้งสองชาติปรับความสัมพันธ์คืนปกติภายหลังสงคราม ได้แก้ประเด็นปัญหาคงค้างทั้งหลายหมดแล้ว และปฏิเสธข้อเรียกร้องให้มีการชดเชยแก่ผู้ที่ถูกเรียกกันว่า “สตรีเพื่อความผ่อนคลาย” แยกต่างหากอีกส่วนหนึ่ง
โยชิฮิเดะ สุกะ เลขาธิการคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่น
ญี่ปุ่นได้ออกคำขอโทษแสดงความเสียใจกับชะตากรรมความทุกข์ยากของพวกเธอแล้ว และได้มอบเงินชดเชยต่อเหยื่อผ่านเอ็นจีโอกลุ่มหนึ่ง แต่โซลยังยืนยันว่า นั่นไม่ใช่การสำนึกเสียใจที่เพียงพอ

ในช่วงไม่กี่เดือนมานี้ ความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ชาติมีความตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม เนื่องจากชาวแดนอาทิตย์ทัยได้ขยายการรณรงค์เพื่อยืนยันว่า ซ่องโสเภณีต่างๆ นั้นดำเนินกิจการโดยพวกแม่เหล้าแมงดาและผู้ประกอบการลึกลับในภาคเอกชน และยืนยันว่ากองทัพญี่ปุ่นไม่ได้หลอกลวงหรือจับสตรีเหล่านั้นไปเป็นทาสกาม

นักวิจารณ์ ระบุว่า โซลใช้ประเด็นนี้เพื่อกระตุ้นความคิดเห็นของสาธารณชนให้เป็นกระแส และเอาความขุ่นเคืองมาลงกับญี่ปุ่น แทนสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศของตนเอง

ความสัมพันธ์ระหว่างโซลและโตเกียวอยู่ในภาวะเย็นชามานานหลายปีแล้ว ซึ่งหลักๆ แล้วมาจากการตีความประวัติศาสตร์ที่พวกเขามีร่วมกันต่างมุมกัน

นายกรัฐมนตรี ชินโซ อาเบะ ของญี่ปุ่นและ พัค ไม่เคยจัดการประชุมสุดยอด 2 ฝ่ายอย่างเป็นทางการเลย นับตั้งแต่พวกเขาก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งในปี 2012 และ 2013 ตามลำดับ ก่อให้เกิดความวิตกกังวลในเรื่องความร่วมมือกันระหว่างสองพันธมิตรหลักของสหรัฐฯ ในเอเชีย


กำลังโหลดความคิดเห็น