เอเอฟพี - มกุฎราชกุมารแห่งญี่ปุ่นทรงออกโรงเตือนว่า การจดจำประวัติศาสตร์สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 “ให้ถูกต้อง” ถือเป็นสิ่งจำเป็นยิ่ง โดยนับเป็นการถลาลงกลางวงโต้เถียงว่าด้วยอุดมการณ์ของชาวญี่ปุ่น ในยามที่นักการเมืองชาตินิยมกำลังหาทางลดทอนความร้ายแรงของอาชญากรรมที่กองทัพแดนอาทิตย์อุทัยเคยก่อไว้ในอดีต
บุคคลในบางแวดวงพากันตีความไปว่า การที่เจ้าชายนารูฮิโตะ มกุฎราชกุมารแห่งญี่ปุ่น ทรงมีพระราชดำรัสในประเด็นด้านประวัติศาสตร์อย่างผิดปกติเช่นนี้ เป็นการตักเตือนนายกรัฐมนตรี ชินโซ อาเบะ แห่งญี่ปุ่น ผู้เป็นหัวเรือใหญ่ของพวกฝ่ายขวาในการผลักดันให้สถาบันต่างๆ ลดละการตอกย้ำภาพจำในอดีต เมื่อครั้งที่กองทัพแดนอาทิตย์อุทัยบีบบังคับหญิงสาวมาเป็นทาสบำเรอกามสมัยสงครามโลก
“วันนี้เมื่อภาพจำสมัยสงครามเริ่มเลือนหาย เราเห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญที่เราจะต้องย้อนกลับไปมองอดีตอย่างนอบน้อม และบอกเล่าประสบการณ์อันน่าเจ็บปวด และวิถีแห่งประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่นที่ตกทอดมาจากคนในยุคสงครามไปยังคนรุ่นหลังอย่างถูกต้อง” เจ้าชายนารูฮิโตะรับสั่ง
กระแสพระราชดำรัสของพระองค์ได้รับการเผยแพร่ออกมาวันนี้ (23 ก.พ.) ซึ่งเป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพปีที่ 55 ของเจ้าชาย ในยามที่อาเบะกำลังทบทวนสายสัมพันธ์ด้านประวัติศาสตร์กับจีน และเกาหลีใต้ จนสร้างความกังวลให้แก่วอชิงตัน
อาเบะกล่าวอย่างเปิดเผยว่า เขาต้องการให้มีการบอกเล่าประวัติศาสตร์ในช่วงครึ่งแรกของศตวรรษที่ 20 ให้มีลักษณะเมตตาปรานีมากกว่านี้ โดยในช่วงเวลาดังกล่าวกองทัพแดนอาทิตย์อุทัยได้บุกรุกรานอย่างป่าเถื่อนเพื่อขยายอาณานิคมในเอเชีย และกระทำสงครามกับแดนมังกร ตลอดจนชาติตะวันตก
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว นายกรัฐมนตรีได้แต่งตั้งคณะกรรมาธิการที่ประกอบด้วยสมาชิก 16 คนเพื่อให้คำแนะนำเขาในการออกคำแถลงเนื่องในวาระครบรอบ 70 ปีที่ญี่ปุ่นแพ้สงคราม
อาเบะกล่าวว่า เขาจะยังคงเนื้อหาส่วนใหญ่ในคำแถลงปีนี้ ให้เหมือนกับคำขออภัยในปีที่ก่อนๆ ของโตเกียว แต่ในยามที่จีนและเกาหลีใต้กำลังโกรธแค้นกับระบบ “สตรีเพื่อการผ่อนคลาย” (Comfort women) ซึ่งหมายถึงผู้หญิงท้องถิ่นในคาบสมุทรเกาหลีและชาติเอเชียอื่นๆ ที่ถูกเกณฑ์ไปสนองตัณหาของทหารญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เช่นนี้ จึงเริ่มมีการคาดการณ์มากขึ้นเรื่อยๆ ว่า นายกรัฐมนตรีจะพยายามมองข้ามประเด็นดังกล่าว
ทั้งนี้ นักประวัติศาสตร์กระแสหลักต่างเห็นพ้องกันว่า ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 มีสตรีมากถึง 200,000 คนซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวเกาหลีถูกบีบบังคับให้เป็นทาสบำเรอกามของทหารญี่ปุ่น
พวกฝ่ายขวาในญี่ปุ่นต่างยืนกรานว่าไม่มีพยานเอกสารยืนยันว่า รัฐหรือกองทัพญี่ปุ่นมีส่วนพัวพันในระบบโสเภณีในคาบสมุทรเกาหลี พร้อมทั้งปฏิเสธที่จะออกมาแสดงท่าทีสำนักผิดอย่างเป็นทางการ จนกลายเป็นจุดยืนอันแข็งกร้าวที่สร้างความโกรธแค้นให้แก่เกาหลีใต้และจีน ด้วยเหตุนี้ทั้งสองประเทศจึงเฝ้าจับมองถ้อยแถลงทุกครั้งที่ทางการโตเกียวออกคำแถลงที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับสงครามอย่างใจจดใจจ่อ
แม้ว่าหนังสือพิมพ์ของแดนอาทิตย์อุทัยจะถ่ายทอดพระพระราชดำรัสของเจ้าชายนารูฮิโตะด้วยโทนเสียงเรียบๆ แต่ผู้ใช้งานสื่อสังคมออนไลน์ก็ยังคงรู้สึกกระตือรือร้นกับข่าวนี้เป็นอย่างมาก
เมื่อสอบถามว่าพระองค์ทรงมีพระราชดำริต่อประเด็นสงครามและสันติภาพอย่างไร เจ้าชายนารูฮิโตะตรัสกับสื่อมวลชนว่า “น่าเจ็บปวดเหลือเกินที่ชีวิตอันมีค่ามากมายต้องพบกับจุดจบ คนจำนวนมากบนโลก รวมทั้งญี่ปุ่นต้องทุกข์ทรมาน และโศกเศร้าเป็นอันมาก”
“สิ่งสำคัญคือเราจะต้องไม่ลืมผู้ที่เสียชีวิตในสงคราม ... (และเราต้อง) ซึมซับอดีตของเราอย่างลึกซึ้ง เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ความโหดร้ายของสงครามเกิดขึ้นซ้ำรอย และเพื่อทะนุบำรุงความรักและสันติภาพ” พระองค์ตรัส