เอพี/เอเอฟพี/MGRออนไลน์ - พระสงฆ์ในพุทธศาสนาชาวเกาหลีใต้รูปหนึ่งยังคงอยู่ในอาการสาหัสมาก ภายหลังจุดไฟเผาตัวเองเพื่อประท้วงการที่แดนโสมขาวโดยประธานาธิบดี พัค กึน-ฮเย ไปทำความตกลงกับญี่ปุ่น ยอมรับมาตรการชดเชยสำหรับการที่กองทัพแดนอาทิตย์อุทัยได้นำเอาหญิงชาวเกาหลีใต้จำนวนมากไปเป็นทาสบำเรอกามในช่วงก่อนและระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ทั้งนี้ตามรายงานของเจ้าหน้าที่หลายรายในวันอาทิตย์ (8 ม.ค.)
ขณะเดียวกันในอีกด้านหนึ่ง นายกรัฐมนตรี ชินโซ อาเบะ ของญี่ปุ่น ก็แถลงเรียกร้องให้เกาหลีใต้เร่งเคลื่อนย้ายรูปปั้น “สตรีเพื่อการผ่อนคลาย” ออกไปจากหน้าสถานกงสุลของแดนอาทิตย์อุทัยในเมืองปูซาน หลังจากที่เรื่องนี้ได้จุดชนวนให้เกิดข้อพิพาททางการทูตรอบใหม่ขึ้นมาตั้งแต่ปลายสัปดาห์ที่แล้ว
ตามคำบอกเล่าของเจ้าหน้าที่ผู้หนึ่งจากโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยแห่งชาติกรุงโซล พระสงฆ์วัย 64 ปีที่จุดไฟเผาตัวเองรูปนี้ ตามร่างกายมีแผลไฟไหม้สาหัสมากถึงระดับที่ 3 และอวัยวะสำคัญยิ่งหลายชิ้นได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง เวลานี้ยังคงไม่ได้สติและไม่สามารถที่จะหายใจด้วยตนเอง
การเผาตัวเองไม่ได้เป็นวิธีการประท้วงที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในแดนโสมขาว อันที่จริงเป็นหนทางที่ใช้กันมากทีเดียวระหว่างการเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลทหารและเรียกร้องประชาธิปไตยเมื่อช่วงทศวรรษ 1980 และต้นทศวรรษ 1990 โดยที่มีนักเคลื่อนไหวจำนวนหนึ่งจุดไฟเผาตัวเองระหว่างการชุมนุมเดินขบวนของประชาชน
สำหรับพระรูปนี้ซึ่งยังไม่มีการระบุชื่อ ได้จัดการเผาตัวเองเมื่อคืนวันเสาร์ (7) ระหว่างการชุมนุมเดินขบวนครั้งใหญ่ในกรุงโซลซึ่งพวกผู้ประท้วงจัดขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกวันเสาร์มาเป็นสัปดาห์ที่ 11 แล้ว เพื่อเรียกร้องขับไล่ประธานาธิบดีพัค ผู้กำลังถูกพิจารณาถอดถอนจากตำแหน่งให้ออกไปโดยเร็ว เจ้าหน้าที่ตำรวจระบุพร้อมกับบอกว่า ในสมุดจดของพระรูปนี้มีข้อความเรียกพัคว่าเป็น “คนขายชาติ” จากการที่รัฐบาลของเธอไปทำความตกลงเมื่อปี 2015 กับญี่ปุ่น ผู้ซึ่งเรียกร้องหาหนทางแก้ไขคลี่คลายข้อพิพาทที่มีมานานแล้วในเรื่องหญิงแดนโสมขาวถูกบังคับให้เป็นทาสบำเรอกามทหารญี่ปุ่น โดยที่ฝ่ายญี่ปุ่นเรียกสตรีเหล่านี้ซึ่งมีหญิงเอเชียชาติอื่นๆ รวมอยู่ด้วย ว่าเป็น “สตรีเพื่อการผ่อนคลาย” (comfort women)
ตามข้อตกลงดังกล่าว ญี่ปุ่นให้คำมั่นที่จะออกเงินทุนให้แก่มูลนิธิซึ่งตั้งสำนักงานใหญ่อยู่ในกรุงโซลแห่งหนึ่ง ที่จัดตั้งขึ้นมาเพื่อช่วยเหลือสนับสนุนหญิงผู้ตกเป็นเหยื่อเหล่านี้ และเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนกัน เกาหลีใต้ก็ให้สัญญาที่จะยุติการวิพากษ์วิจารณ์ญี่ปุ่นในประเด็นปัญหานี้ รวมทั้งจะคลี่คลายแก้ไขความคับข้องใจของแดนอาทิตย์อุทัย เนื่องมาจากทางแดนโสมขาวตั้งรูปปั้นผู้หญิงทำด้วยทองสัมฤทธิ์ที่เป็นตัวแทนสื่อถึงสตรีผู้เป็นทาสบำเรอกามระหว่างสงคราม เอาไว้ตรงหน้าสถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำกรุงโซล
อย่างไรก็ดี จนถึงเวลานี้ดีลดังกล่าวยังคงไม่อาจปิดฉากประเด็นปัญหาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกนี้ได้ ข้อตกลงฉบับนี้ยังคงถูกวิพากษ์วิจารณ์ในเกาหลีใต้ เนื่องจากจัดทำขึ้นโดยที่ไม่ได้ผ่านความเห็นชอบของผู้ตกเป็นเหยื่อซึ่งบัดนี้อายุเข้าสู่วัยชรา และพวกนักศึกษาก็ยังคงจัดการนั่งประท้วงข้างๆ รูปปั้นในกรุงโซลอย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลากว่า 1 ปีแล้ว ท่ามกลางความหวั่นเกรงว่ารัฐบาลอาจพยายามโยกย้ายรูปปั้นนี้ออกไป
เมื่อวันศุกร์ (6) รัฐบาลญี่ปุ่นได้แสดงปฏิกิริยาอย่างโกรธเกรี้ยว เมื่อมีผู้นำเอารูปปั้นแบบเดียวกันนี้ไปตั้งไว้ที่ด้านหน้าของสถานกงสุลแดนอาทิตย์อุทัยในเมืองปูซาน ทางภาคใต้ของแดนโสมขาว โดยประกาศเรียกเอกอัครราชทูตของตนกลับจากเกาหลีใต้ และระงับการพูดจาหารือทางเศรษฐกิจทั้งหลายเอาไว้ก่อน
นายกรัฐมนตรีอาเบะก็เรียกร้องฝ่ายเกาหลีใต้ให้นำรูปปั้นดังกล่าวออกไป และปฏิบัติตามข้อตกลงปี 2015 ที่ได้ทำกันไว้
“มีการตกลงยืนยันร่วมกันไปแล้วว่า นี่คือข้อตกลงฉบับสุดท้ายและไม่มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงใดๆ อีกแล้ว ทางญี่ปุ่นก็ได้ปฏิบัติตามพันธะผูกพันของตนในข้อตกลงนี้ด้วยความจริงใจ” อาเบะกล่าวในรายการสนทนาเรื่องข่าวของสถานีโทรทัศน์เอ็นเอชเค ซึ่งนำมาออกอากาศในวันอาทิตย์ (8) เขาระบุว่าญี่ปุ่นได้จ่ายค่าชดเชยไปแล้วเป็นมูลค่า 1,000 ล้านเยน (ราว 320 ล้านบาท)
“ถัดจากนี้ ผมคิดว่าเกาหลีใต้ต้องแสดงออกให้เห็นอย่างหนักแน่นมั่นคงถึงความจริงใจของฝ่ายตน” เขากล่าวพร้อมกับพูดต่อไปว่า ข้อตกลงดังกล่าวควรต้องมีผลบังคับใช้ไม่ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงคณะผู้นำในสองประเทศไปอย่างไร เนื่องจากเป็น “เรื่องของเครดิตความน่าเชื่อถือ”
เมื่อตอนที่ทำดีลฉบับดังกล่าว กรุงโซลระบุว่าในขณะนั้นเหยื่อชาวเกาหลีใต้ที่ยังมีชีวิตอยู่เหลืออยู่ 46 คน
ขณะที่พวกนักประวัติศาสตร์กระแสหลักระบุว่า มีผู้หญิงอาจจะมากถึง 200,000 คนทีเดียวถูกบังคับให้ทำงานในโรงโสเภณีของทหารญี่ปุ่นในช่วงก่อนและระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 สตรีเหล่านี้ถูกนำตัวมาจากส่วนต่างๆ ของเอเชียรวมทั้งประเทศจีน ทว่าส่วนมากที่สุดเป็นชาวเกาหลี โดยที่คาบสมุทรเกาหลีตกเป็นอาณานิคมของญี่ปุ่นในช่วงปี 1910 ถึง 1945
สำหรับรูปปั้น “สตรีเพื่อการผ่อนคลาย” ในเมืองปูซานนี้ ตอนต้นทีเดียวได้ถูกทางการท้องถิ่นของเกาหลีใต้โยกย้ายออกไปแล้ว ภายหลังพวกนักเคลื่อนไหวนำมาตั้งที่หน้าสถานกงสุล ทว่าเมื่อธันวาคมที่ผ่านมา หลังจากรัฐมนตรีกลาโหมญี่ปุ่นไปสักการะศาลเจ้ายาสุคุนิ ในกรุงโตเกียว ซึ่งเป็นสถานที่เก็บป้ายสถิตวิญญาณของผู้เสียชีวิตจากสงครามครั้งต่างๆ ของญี่ปุ่น รวมทั้งพวกผู้นำทหารและพลเรือนที่ถูกลงโทษฐานเป็นอาชญากรสงครามในตอนสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ด้วย กรุงโซลก็ปล่อยให้พวกนักเคลื่อนไหวนำเอารูปปั้นไปตั้งเอาไว้หน้าสถานกงสุลญี่ปุ่นอีก
รัฐมนตรีกลาโหมญี่ปุ่นไปสักการะศาลเจ้ายาสุคุนิ ในวันเดียวกับที่นายกรัฐมนตรีอาเบะเดินทางไปเคารพและแสดงความเสียใจแต่ไม่ขอโทษ ที่อนุสรณ์สถานของทหารอเมริกันผู้เสียชีวิตในฐานทัพเพิร์ลฮาร์เบอร์ รัฐฮาวาย ซึ่งถูกกองทัพญี่ปุ่นเข้าโจมตีแบบไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัวในปี 1941