รอยเตอร์ – รัฐบาลอิสราเอลแสดงความพึงพอใจ หลังจากประธานาธิบดี บารัค โอบามา แห่งสรัฐฯ ยอมประนีประนอมให้สภาคองเกรสได้มีส่วนร่วมพิจารณาและโหวตข้อตกลงนิวเคลียร์กับอิหร่านที่อาจจะมีขึ้นก่อนถึงเส้นตายวันที่ 30 มิ.ย.นี้
“เราพอใจอย่างมากที่ได้เห็นนโยบายของอิสราเอลประสบความสำเร็จในเช้าวันนี้ สิ่งที่นายกรัฐมนตรี เบนจามิน เนทันยาฮู กล่าวต่อสภาคองเกรสสหรัฐฯ คือปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้กฎหมายฉบับนี้เกิดขึ้นมา ซึ่งจะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดข้อตกลงร้ายๆ หรืออย่างน้อยก็ทำให้ทิศทางการเจรจาเป็นไปอย่างมีเหตุมีผลยิ่งขึ้น” ยูวาล สไตนิตซ์ รัฐมนตรีกระทรวงข่าวกรองอิสราเอล ให้สัมภาษณ์ต่อสถานีวิทยุของอิสราเอล
เมื่อวันอังคาร (14 เม.ย.) โอบามา ยอมเพิกถอนการคัดค้านร่างกฎหมายซึ่งจะให้อำนาจแก่สภาคองเกรสในการทบทวนข้อตกลงนิวเคลียร์กับอิหร่าน หลังจากสมาชิกพรรคเดโมแครตได้เข้าไปเจรจาประนีประนอมกับรีพับลิกันจนได้ร่างกฎหมายซึ่งเป็นที่ยอมรับทั้ง 2 ฝ่าย
ร่างกฎหมายฉบับนี้ลดกรอบเวลาที่คองเกรสจะสามารถทบทวนข้อตกลงนิวเคลียร์จาก 60 วัน เหลือเพียง 30 วัน และยกเลิกเงื่อนไขที่ว่า โอบามาจะต้องรับรองว่าอิหร่านไม่ได้สนับสนุนผู้ก่อการร้ายที่จ้องโจมตีอเมริกา
วอชิงตันจะต้องส่งร่างข้อตกลงนิวเคลียร์ให้คองเกรสพิจารณาทันทีที่เสร็จสมบูรณ์ โดยระหว่างนั้น โอบามา ไม่มีสิทธิ์ที่จะยกเลิกคว่ำบาตรเตหะราน และยังให้อำนาจแก่คองเกรสว่าจะโหวตยกเลิกคว่ำบาตรอิหร่านหรือไม่
รัฐบาลสหรัฐฯ ยังต้องแจ้งให้คองเกรสทราบเป็นระยะๆ เกี่ยวกับความเคลื่อนไหวของอิหร่านทั้งในด้านขีปนาวุธ โครงการนิวเคลียร์ และการสนับสนุนก่อการร้าย
โอบามา ซึ่งเหลือเวลาดำรงตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ อีกเพียงปีเศษ พยายามอย่างยิ่งที่จะผลักดันข้อตกลงนานาชาติที่จะจำกัดไม่ให้อิหร่านมีทรัพยากรหรือเทคโนโลยีมากพอในการผลิตอาวุธทำลายล้างสูง โดยใช้มาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจเป็นตัวกดดันให้เตหะรานยอมเจรจาด้วย
เนทันยาฮู และ โอบามา มีมุมมองแตกต่างกันสุดขั้วในเรื่องวิธีจัดการกับอิหร่าน โดยผู้นำยิวนั้นเกรงว่าข้อตกลงที่ได้จะไม่รัดกุมพอ และเปิดโอกาสให้อิหร่านลักลอบพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ต่อไปได้
อิหร่านยืนยันเสียงแข็งว่าโครงการนิวเคลียร์มีวัตถุประสงค์เชิงสันติเท่านั้น แต่ก็ไม่ยินยอมให้ผู้ตรวจสอบนานาชาติเข้าไปยุ่มย่าม และยังปกปิดกิจกรรมภายในโรงงานนิวเคลียร์บางแห่งไว้เป็นความลับสุดยอด
การโน้มน้าวให้อิหร่านยอมรับมาตรการตรวจสอบที่เข้มงวดโปร่งใสถือเป็นหัวใจสำคัญที่จะช่วยให้สหรัฐฯและชาติตะวันตกมั่นใจว่า ข้อตกลงฉบับสมบูรณ์ที่จะเกิดขึ้นภายในกำหนดเส้นตาย 30 มิถุนายนนี้จะมีประสิทธิภาพควบคุมอิหร่านได้จริง ซึ่งจะทำให้สภาคองเกรสและอิสราเอลต้องยอมรับไปโดยปริยาย