เอพี - กลุ่มติดอาวุธหัวรุนแรง “รัฐอิสลาม” (ไอเอส) ได้เคลื่อนย้ายชนกลุ่มน้อยชาวคริสต์ที่ถูกลักพาตัวไปจากชุมชนโบราณของซีเรีย ไปยังหนึ่งในฐานที่มั่นของกลุ่ม ในยามที่ชาวเคิร์ด พร้อมด้วยกองกำลังป้องกันพลเรือนคริสเตียนเปิดฉากสู้รบกับไอเอสวานนี้ (25 ก.พ.) เพื่อยึดครองหมู่บ้านหลายแห่งริมแม่น้ำทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของซีเรีย ทั้งนี้ ตามการเปิดเผยของนักเคลื่อนไหวและสื่อของทางการ
แม่น้ำคาบูร ในจังหวัดฮัสเซาเกห์ ซึ่งตั้งอยู่ติดกับพรมแดนตุรกีและอิรัก ได้กลายเป็นสมรภูมิแห่งล่าสุดในการต่อกรกับกลุ่มรัฐอิสลามในซีเรีย ทั้งนี้ ประชาชนที่อาศัยอยู่ในเมืองนี้ส่วนใหญ่เป็นชาวเคิร์ด แต่ก็มีชาวอาหรับ ตลอดจนชาวอัสซีเรีย และชาวอาร์เมเนียที่นับถือศาสนาคริสต์อาศัยอยู่ด้วย
ในการจู่โจมตั้งแต่ก่อนรุ่งสาง กลุ่มไอเอสได้บุกโจมตีชุมชนต่างๆ ริมแม่น้ำ และลักพาตัวชาวบ้านไปอย่างน้อย 90 ชีวิต ไม่เว้นแม้แต่เด็กและสตรี เป็นผลให้ประชาชนหลายพันคนแห่ต่างอพยพไปอยู่ในที่ที่ปลอดภัยกว่า
วานนี้ (25) ชะตากรรมของเหยื่อลักพาตัว ซึ่งเกือบทั้งหมดเป็นชาวคริสต์อัสซีเรีย ยังคงไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด ภายหลังที่พวกเขาถูกจับตัวไปนานสองวัน โดยญาติพี่น้องของชาวบ้านกลุ่มนี้พยายามควานหาเบาะแสของบุคคลอันเป็นที่รักของพวกเขาอย่างกระวนกระวาย แต่ก็ยังไม่พบวี่แวว
สำนักข่าวซานาของทางการอิรัก และเครือข่ายอัสซีเรียเพื่อสิทธิมนุษยชนในซีเรียระบุว่า ตัวประกันกลุ่มนี้ได้ถูกเคลื่อนย้ายไปยังเมืองชัดดาเดห์ ซึงตกอยู่ภายใต้การยึดครองของกลุ่มรัฐอิสลาม ทางตอนใต้ของเมืองฮัสซาเกห์ โดยสหรัฐฯ และกลุ่มชาติพันธมิตรกำลังระดมโจมตีทางอากาศกวาดล้างกลุ่มนักรบญิฮาดไอเอส โดยมีครั้งหนึ่งได้ตั้งเป้าโจมตีสมาชิกกลุ่มหัวรุนแรงที่กบดานอยู่ในเมืองชัดดาเดห์ ซึ่งมีประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวอาหรับ
โอซามา เอ็ดเวิร์ด ผู้อำนวยการเครือข่ายอัสซีเรียเพื่อสิทธิมนุษยชนในซีเรีย ซึ่งมีฐานในกรุงสตอกโฮลมส์ ของสวีเดนชี้ว่า “นอกเหนือจากกำหนดยุทธศาสตร์เพื่อทำลายขวัญกำลังใจของประชาชนแล้ว เป้าหมายอีกอย่างหนึ่งของกลุ่มรัฐอิสลามคือการจับตัวประกันไปเป็นโล่มนุษย์ เพื่อคุ้มกันตัวเองจากปฏิบัติการทางอากาศของกลุ่มชาติพันธมิตรภายใต้การนำของสหรัฐฯ”
การลักพาตัวหมู่ครั้งนี้ยิ่งเพิ่มความอกสั่นขวัญแขวนให้แก่ชนกลุ่มน้อยต่างนิกายและศาสนา ทั้งในซีเรียและอิรัก ซึ่งมักจะถูกกลุ่มหัวรุนแรงรัฐอิสลามตั้งเป้าเล่นงาน โดยในช่วงที่กลุ่มติดอาวุธมุสลิมสุหนี่ กลุ่มนี้ก่อเหตุนองเลือดในทั้งสองประเทศ ซึ่งเป็นดินแดนที่พวกเขาสถาปนารัฐอิสลามที่ปกครองด้วยระบบคอลิฟะห์ (กาหลิบ) พบว่าชนกลุ่มน้อยถูกข่มเหง และเข่นฆ่าเป็นว่าเล่น จนต้องอพยพหนีตาย ในขณะที่ผู้หญิงในหมู่บ้านถูกจับตัวไปเป็นทาส และศานสถานถูกทำลายพังพินาศ
เย็นวานนี้ (25) คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ “ได้กล่าวประณามอย่างรุนแรง” ต่อการลักพาตัวชนกลุ่มน้อยชาวคริสต์ พร้อมทั้งเรียกร้องให้กลุ่มรัฐอิสลาม และกลุ่มหัวรุนแรงใดๆ ปล่อยตัวเหยื่อลักพาตัวคนอื่นๆ ในทันที
ด้านทำเนียบขาวได้ออกมาประณามการก่อเหตุครั้งนี้ พร้อมกับระบุว่า ประชาคมนานาชาติได้มีมติร่วมกันให้ “หยุดยั้งความชั่วช้าเลวทรามของกลุ่มไอเอส”
ทาเลียกล่าวว่า เมื่อวันจันทร์ (23) กลุ่มหัวรุนแรงไอเอสได้เข้ารุกรานหมู่บ้าน 33 แห่งของชาวอัสซีเรีย และจับตัวชาวบ้านระหว่างทางไปมากถึง 300 คน โดยคนจำนวนมาถูกจับตัวไปขณะยังอยู่บนเตียงนอน ในขณะที่ชายคนหนึ่งที่ไม่ยอมออกจากบ้าน ก็ถูกจุดไฟเผาทั้งเป็นไปพร้อมๆ กับบ้านของตัวเอง
เขาระบุเพิ่มเติมว่า ชาวบ้านกว่า 700 ครอบครัวที่หลบหนีไปแถบแม่น้ำคาบูร์ ได้เดินทางไปถึงเมืองฮัสซาเกห์ ขณะทีอีก 200 ครอบครัว หลบหนีไปยังเขตกามิชลี
นอกจากนี้ กลุ่มหัวรุนแรงไอเอสยังอาจใช้ตัวประกันชาวอัสซีเรียเป็นเครื่องต่อรอง เพื่อขอให้หน่วยป้องกันประชาชนชาวเคิร์ดยอมปล่อยตัวสมาชิกกลุ่มหัวรุนแรงที่ถูกจับตัวเป็นเชลย ในยามที่ทั้งสองฝ่ายกำลังสู้รบกันอย่างดุเดือด ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของซีเรีย