เอเอฟพี - เจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองสหรัฐฯ เปิดเผยวานนี้ (10 ก.พ.) ว่า พบว่ามีนักรบต่างชาติไหลบ่าเข้าไปยังซีเรียเป็นจำนวนมหาศาลอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน โดยมีกำลังรบอาสากว่า 20,000 คนจากทั่วโลกหลั่งไหลไปร่วมสู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่กับกลุ่มติดอาวุธ “รัฐอิสลาม” (ไอเอส) หรือกลุ่มหัวรุนแรงอื่นๆ
กลุ่มนักรบต่างชาติที่มุ่งหน้าไปยังซีเรียกลุ่มนี้ ดั้นด้นเดินทางมาจากกว่า 90 ประเทศ ในจำนวนนี้มีไม่ต่ำกว่า 3,100 คนที่รอนแรมมาจากชาติตะวันตก และมากกว่า 150 คนเป็นพลเมืองอเมริกัน ทั้งนี้ตามตัวเลขประมาณการล่าสุดของศูนย์ปราบปรามการก่อการร้ายแห่งชาติสหรัฐฯ (เอ็นซีทีซี)
หน่วยงานแห่งนี้ระบุด้วยว่า นักรบต่างชาติซึ่งเพิ่งเดินทางไปถึงเมื่อเร็วๆ นี้ส่วนใหญ่ตั้งใจไปเข้าร่วมกับกลุ่มหัวรุนแรงรัฐอิสลามในอิรัก และซีเรีย
ตัวเลขประมาณจำนวนนักรบต่างชาติที่หลั่งไหลไปยังซีเรียทั้งหมด ไต่ขึ้นจากยอดประมาณการเมื่อเดือนมกราคมที่ราวๆ 19,000 คน ทั้งนี้ตามข้อมูลของเอ็นซีทีซี
แม้จะยังไม่สามารถระบุจำนวนที่แน่ชัด “แต่สามารถมองเห็นทิศทางของแนวโน้มดังกล่าวได้ชัดเจนจนน่าเป็นห่วง” นิโคลัส ราสมุสเซน ผู้อำนวยการเอ็นซีทีซีกล่าวในการแถลงต่อรัฐสภาสหรัฐฯ วันนี้ (11)
เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ผู้นี้ตั้งข้อสังเกตว่า อัตราของนักรบต่างชาติที่เดินทางไปยังซีเรียนั้นสูงเป็นประวัติการณ์จนเกินอัตราผู้ที่เดินทางไปยังอัฟกานิสถาน ปากีสถาน อิรัก และเยเมน หรือโซมาเลีย ณ ช่วงเวลาใดก็ตาม ในช่วง 20 ปีให้หลังมานี้”
นักรบอาสากลุ่มนี้มีภูมิหลังที่แตกต่างกัน และ “ไม่สามารถจัดเป็นประเภทใดประเภทหนึ่งโดยเฉพาะ” ราสมุสเซนชี้
“สนามรบในอิรักและซีเรียมอบประสบการณ์ในการสู้รบ หยิบยื่นอาวุธ และฝึกปรือวิธีทำระเบิด ตลอดจนช่องทางในการเข้าถึงเครือข่ายก่อการร้ายที่อาจวางแผนลอบโจมตีชาติตะวันตกให้แก่นักรบต่างชาติ”
ที่ผ่านมา รัฐบาลชาติตะวันตกได้แสดงความกังวลถึงสัญญาณเตือนที่เริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จากการที่มีคลื่นนักรบต่างชาติมุ่งหน้าไปร่วมสู้รบในสงครามซีเรีย โดยเฉพาะหลังนักรบญิฮาดก่อเหตุโจมตีที่กรุงปารีส จนคร่าชีวิตพลเรือนและตำรวจรวม 17 ราย
เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ เปิดเผยว่า ในช่วงที่เกิดการสู้รบยืดเยื้อนานหลายเดือนในเมืองโคบานี ของซีเรีย ซึ่งตั้งอยู่ติดกับพรมแดนตุรกี ก็พบว่ามีนักรบต่างชาติ จบชีวิตพร้อมกับสมาชิกกลุ่มหัวรุนแรงไปเป็นจำนวนมาก
หน่วยรบภาคพื้นของชาวเคิร์ด ซึ่งมีกลุ่มชาติพันธมิตรภายใต้การนำของสหรัฐฯ คอยโจมตีทางอากาศสนับสนุน สามารถโจมตีขับไล่กลุ่มไอเอสที่พยายามเข้ายึดเมืองโคบานี ให้ล่าถอยกลับไปได้สำเร็จ
แรงดึงดูดจากโฆษณาชวนเชื่อ
ราสมุสเซนกล่าวว่า กลุ่มติดอาวุธหัวรุนแรงไอเอสสามารถชักชวนนักรบอาสาบางส่วน ผ่านวิธีการโฆษณาชวนเชื่อที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายทางสื่อสังคมออนไลน์ และผลิตคลิป พร้อมคำเชิญชวนออกมามากมายหลายภาษา
นอกเหนือจากภาพการสังหารโหดตัวประกัน และการประหัตประหารในลานรบชวนสยดสยองแล้ว กลุ่มไอเอสยังพยายามเข้าถึงคนหนุ่มสาวที่รู้สึกแปลกแยกจากสังคมด้วยการโปรโมตภาพวิถีชีวิตแบบนอนกลางดินกินกลางทรายในดินแดนที่กลุ่มติดอาวุธสถาปนาเป็นรัฐอิสลามที่ปกครองด้วยระบบคอลิฟะห์อีกด้วย
แม้ว่านักรบต่างชาติเหล่านี้จะไม่ได้เดินทางไปยังซีเรียด้วยเส้นทางเดียวกันทุกรายไป แต่ดินแดนทางผ่านยอดนิยมของพวกเขาคือตุรกี เนื่องจากประเทศนี้ตั้งอยู่ติดกับพรมแดนซีเรีย
ผู้อำนวยการเอ็นซีทีซีระบุว่า อาสาสมัครกลุ่มนี้อาศัยประโยชน์จากนโยบายของตุรกี ที่เปิดไฟเขียวให้พลเมืองของ 69 ประเทศไม่ต้องใช้วีซ่า รวมทั้งประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป (อียู)
อย่างไรก็ตาม ตุรกีได้พยายามยกระดับมาตรการสกัดกั้นการไหลบ่าเข้ามาของนักรบต่างชาติ ทั้งยังปฏิเสธที่จะให้บุคคลซึ่งต้องสงสัยว่ามีใจฝักใฝ่เข้าร่วมรบกับกลุ่มหัวรุนแรงผ่านเข้าประเทศ จนตอนนี้มีนักเดินทางถูกตุรกีสั่งห้ามเข้าประเทศแล้วราว 10,000 คน
ทว่า ในท้ายที่สุดแล้วหนทางเดียวในการรับมือกับภัยคุกคามจากกลุ่มหัวรุนแรง และกลุ่มนักรบไอเอส คือการ “ลดทอนเสน่ห์ของลัทธิก่อการร้าย และหันเหไม่ให้พลเมืองตัดสินใจไปเข้าร่วมกับกลุ่มหัวรุนแรงตั้งแต่แรก” ราสมุสเซนชี้
เขากล่าวว่า ถึงแม้จะมีกระแสวิตกกังวลว่า อาจมีบุคคลที่ได้รัลแรงบันดาลใจจากโฆษณาชวนเชื่อของกลุ่มหัวรุนแรงอิสลามิสต์ ถูกปลุกกระตุ้นให้ก่อเหตุโจมตีภายในประเทศ แต่ประเด็นนี้ก็ยังไม่ใช่เรื่องที่น่ากังวลร้ายแรง