เอเอฟพี – เจ้าหน้าที่ออสเตรเลีย กล่าววันนี้ (10) ว่า ชาย 2 คนถูกจับกุมหลังจากมีปฏิบัติการต่อต้านการก่อการร้ายในนครซิดนีย์ ภายหลังมีการสืบสวนอยู่นานเรื่องผู้ที่ให้การสนับสนุนเหล่านักรบที่มีส่วนส่วนร่วมในความขัดแย้งต่างๆ อย่างในซีเรียและอิรัก
ทีมเจ้าหน้าที่จับกุ่มชายคนหนึ่งเมื่อวานนี้ (9) หลังจากบุกตรวจค้นอสังหาริมทรัพย์ 4 แห่งในภาคตะวันตกเฉียงใต้ของนครซิดนีย์ ที่ตำรวจ ระบุว่า เป็น “ส่วนหนึ่งของการสืบสวนที่ดำเนินมาอย่างยาวนานและไม่ได้เป็นผลมาจากภัยคุกคามการก่อการร้ายอย่างใดอย่างหนึ่ง”
ชายวัย 33 ปีรายนี้ถูกจับและตั้งข้อหาฐานได้รับและมีเครื่องกระสุนไว้ในครอบครองอย่างผิดกฎหมาย เจ้าหน้าที่ กล่าว
การสืบสวนครั้งนี้ ซึ่งดำเนินมากว่าหนึ่งปีแล้ว กำลังสืบค้นการสนับสนุนทางการเงินและอื่นๆ ที่มีให้กับเหล่านักรบต่างชาติในความขัดแย้งต่างๆ รวมถึงในซีเรียลัอิรัก
ตำรวจ ระบุว่า การบุกตรวจค้นครั้งนี้ไม่ได้เกี่ยวโยงเหตุจี้ตัวประกันนาน 16 ชั่วโมงในคาเฟ่แห่งหนึ่งของซิดนีย์เมื่อช่วงกลางเดือนธันวาคม ที่ลงเอยด้วยการเสียชีวิตของตัวประกัน 2 รายและ แมน ฮารอน โมนิส มือปืนที่อ้างตนเองเป็นนักบวชศาสนาอิสลามอีก 1 ราย
อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์เหล่านั้นเกิดขึ้นภายหลังการบุกตรวจค้นต่อต้านการก่อการร้ายขนานใหญ่ทั่วประเทศเมื่อเดือนกันยายน ที่มีขึ้นในขณะที่ออสเตรเลียยกระดับภัยคุมคามการก่อการร้ายเป็นระดับสูง ด้วยความกังวลถึงการกลับมาจากความขัดแย้งในตะวันออกกลางของพวกนักรบกลุ่มติดอาวุธ
ในอีกด้านหนึ่งของเมื่อวานนี้ (10) ชายวัย 21 ปีรายหนึ่งถูกจับกุมตามหมายว่าด้วยการมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนที่ไม่ได้รับอนุญาตและไม่ได้จดทะเบียน ซึ่งถูกพบในการบุกตรวจค้นเมื่อเดือนที่แล้ว ไว้ในครอบครอง
การจับกุมตัวเขามีขึ้นในฐานะส่วนหนึ่งของปฏิบัติการต่อต้านการก่อการร้ายที่กำลังดำเนินอยู่ต่อผู้ที่ต้องสงสัยว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการดำเนินการก่อการร้ายภายในประเทศ , การต่อสู้ในซีเรียและอิรัก และการจัดหาเงินทุนของกลุ่มก่อการร้าย ตำรวจ ระบุ
คดีของชายทั้งสองคนนี้ถูกเลือนการพิจารณาออกไปในวันนี้ (10) จนถึงสัปดาห์หน้า และทนาย อดัม โฮวดา ซึ่งเป็นตัวแทนของชายทั้งสองคน ย้ำว่าลูกความของเขาไม่ได้กำลังเผชิญข้อหาการก่อการร้าย
รัฐบาลออสเตรเลีย ระบุว่า ในปัจจุบันชาวแดนจิงโจ้มากกว่า 70 คนกำลังร่วมต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กลุ่มติดอาวุธอิลามิสต์ในอิรักและซีเรีย โดยเชื่อว่าอย่างน้อย 20 คนได้เสียชีวิตแล้ว
เมื่อปีที่แล้ว แคนเบอร์ราผ่านกฎหมายที่กำหนดให้การเดินทางไปยังพื้นที่ก่อการร้ายต่างๆโดยไม่มีเหตุผลที่ดีเป็นความผิดทางอาญา ซึ่งบุคคลที่ถูกตั้งข้อหาอาจต้องรับโทษจำคุกนานสุดถึง 10 ปี