เอพี - ประธานาธิบดี บารัค โอบามา แห่งสหรัฐฯ และนายกรัฐมนตรี นเรนทรา โมดี แห่งอินเดียได้แสดงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันข้ามทวีป ด้วยการหันมามองความสัมพันธ์ระหว่างอินเดียกับสหรัฐฯ ในอนาคตในแง่ดี ถึงแม้จะยังมีความกังวลกันว่า สายสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นซึ่งครั้งหนึ่งสองชาติประชาธิปไตยเคยมีให้แก่กันจะจืดจางลงแล้ว
การประชุมกับ โอบามา และรองประธานาธิบดี โจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ ที่ห้องทำงานของผู้นำแดนอินทรีวันนี้ (30 ก.ย.) จะเป็นภารกิจที่สำคัญที่สุดในการเยือนทำเนียบขาวเป็นเวลา 2 วันของโมดี โดยจะมีการจัดพิธีการต้อนรับผู้นำแดนภารตะอย่างเป็นทางการหน้าเวสต์วิง ซึ่งเป็นที่ตั้งของห้องทำงานประธานาธิบดี ภายหลังที่เย็นวันก่อน โอบามา ได้รับรองนายกรัฐมนตรีโมดีด้วยการร่วมรับประทานมื้อค่ำเป็นการส่วนตัว แม้ว่า โมดี ซึ่งเป็นชาวฮินดูผู้เคร่งครัดกำลังถือศีลอดอยู่ก็ตาม
โดยทั่วไปแล้ว โอบามา หรือบรรดาผู้นำสหรัฐฯ คนอื่นๆ จะรับรองผู้นำจากต่างแดน ณ ทำเนียบขาวโดยใช้เวลาเพียงไม่ถึงหนึ่งวัน การที่โอบามาวางแผนต้อนรับนาน 2 วันครั้งนี้จึงเป็นสิ่งที่ไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ และสะท้อนให้เห็นว่า ทำเนียบขาวปรารถนาจะต้อนรับชายผู้นี้อย่างอบอุ่น ทั้งที่ครั้งหนึ่งเขาเคยถูกห้ามเข้าสหรัฐฯ นอกจากนี้ โมดียังจะเดินทางไปร่วมรับประทานอาหารกลางวันร่วมกับ ไบเดน และ จอห์น เคร์รี รัฐมนตรีต่างประเทศ ณ กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ในวันนี้ (30)
จอช เออร์เนสต์ โฆษกทำเนียบขาวแถลงว่า “ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความมั่นคง การต่อต้านการก่อการร้าย หรือการเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจ หรือประเด็นอื่นๆ ในระดับภูมิภาค ล้วนแต่มีขอบเขตอันกว้างขวาง ให้อินเดียและสหรัฐฯ ทำงานร่วมกันได้อย่างใกล้ชิด เพื่อผลักดันให้ทั้งสองประเทศได้รับผลประโยชน์ร่วมกัน”
โมดี ซึ่งเป็นมุขมนตรีรัฐคุชราตตั้งแต่ปี 2001 มาจนกระทั่งถึงปีนี้ ถูกวิจารณ์ว่าเพิกเฉยต่อเหตุจลาจลทางศาสนาที่คร่าชีวิตชาวมุสลิมเสียชีวิตไปกว่า 1,000 คน จนถูกสหรัฐฯ ปฏิเสธการออกวีซ่าให้ตั้งแต่ปี 2005 ภายใต้เงื่อนไขของกฎหมายอเมริกันปี 1998 ซึ่งห้ามมิให้ชาวต่างชาติที่พัวพัน “การละเมิดเสรีภาพในการนับถือศาสนาอย่างร้ายแรง” เข้าประเทศ
ปัญหาหนึ่งที่โมดีต้องเผชิญในการเดินทางมาเยือนสหรัฐฯ รอบนี้ คือ องค์การสิทธิมนุษยชนกำลังเสนอเงินรางวัล 10,000 ดอลลาร์สหรัฐ แก่ใครก็ตามที่ขันอาสานำหมายเรียกจากศาลนิวยอร์กไปส่งถึงมือโมดี เพื่อให้เขาไปชี้แจงต่อศาล ภายหลังถูกศูนย์กระบวนการยุติธรรมอเมริกัน (American Justice Center) ยื่นฟ้องเอาผิดเขาฐานก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติและสังหารผู้อื่นโดยวิธีศาลเตี้ย
โมดี ได้ปฏิเสธว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุรุนแรงที่เกิดขึ้น และในฐานะที่เขาเป็นผู้นำประเทศ เขาจึงมีเอกสิทธิคุ้มกันจากการดำเนินคดีในศาลสหรัฐฯ เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวกล่าวว่า พวกเขากำลังกังขาว่าประเด็นปัญหานี้จะครอบงำบรรยากาศของการเยือนสหรัฐฯ ครั้งนี้
ทำเนียบขาวระบุว่า ระหว่างการหารือกัน โอบามา และโมดีจะมุ่งประเด็นสำคัญไปที่การเติบโตทางเศรษฐกิจ และความร่วมมือด้านความมั่นคง การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ และวาระอื่นๆ นอกจากนี้พวกเขายังจะหารือกันถึงวิกฤตระดับภูมิภาค เป็นต้นว่า สถานการณ์ในอัฟกานิสถาน ประเทศที่สหรัฐฯ เริ่มถอนกำลังทหารออกมาหลังส่งไปประจำการนาน 13 ปี และความพยายามต่อสู้กับกลุ่มหัวรุนแรง “รัฐอิสลาม” (ไอเอส) ในอิรักและซีเรีย ที่วอชิงตันกำลังผลักดัน
ขณะที่สายสัมพันธ์ระหว่างกองทัพแดนอินทรี กับกองทัพแดนภารตะ และการค้าด้านกลาโหมระหว่างทั้งสองประเทศกำลังเจริญรุดหน้า สายสัมพันธ์ทางด้านเศรษฐกิจกลับสั่นคลอนหนักขึ้นเรื่อยๆ โดยวอชิงตันไม่พอใจที่ อินเดียไม่เปิดประเทศให้นักธุรกิจต่างชาติเข้าไปลงทุนให้มากขึ้น และปัญหาการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ความท้าทายในเรื่องข้อตกลงว่าด้วยการใช้นิวเคลียร์เชิงสันติ ตลอดจนการจับกุมและเปลื้องผ้านักการทูตหญิงอินเดียที่นิวยอร์กที่สร้างความร้าวฉานให้แก่สายสัมพันธ์ของสองประเทศเมื่อปีที่แล้ว
ก่อนที่ โมดีจะเดินทางไปเยือนวอชิงตัน เขาได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากชาวอเมริกันเชื้อสายอินเดียหลายพันคน ซึ่งไปรวมตัวกันที่สนามกีฬา เมดิสันสแควร์การ์เดน ในนครนิวยอร์กเพื่อรอพบผู้นำคนใหม่ ซึ่งเป็นโอกาสที่มีน้อยมาก
เจ้าหน้าในรัฐบาลสหรัฐฯ ชี้ว่า ความพิเศษอย่างหนึ่งในการเดินทางเยือนอาทิตย์นี้ คือการที่โอบามา และโมดีจะมีโอกาสได้เริ่มสร้างความปรองดอง ทั้งนี้ โอบามาหรือหนึ่งในบรรดาผู้นำชาติตะวันตกที่โทรศัพท์ไปแสดงความยินดีกับโมดี ภายหลังที่พรรคการเมืองชาตินิยมฮินดู “ภารติยะชนตะ” (บีเจพี) ของเขาก้าวขึ้นมาเป็นรัฐบาล จากการกวาดคะแนนเสียงล้นหลามในศึกเลือกตั้งเมื่อเดือนพฤษภาคม
การเดินทางเยือนสหรัฐฯ ครั้งนี้เปรียบเสมือนการประกาศชัยชนะของโมดี ผู้นำซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นบ๋อยร้านน้ำชา
มิลัน ไวชนัฟ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญด้านเอเชียใต้ ณ กองทุนคาร์เนกีเพื่อสันติภาพระหว่างประเทศ ในกรุงวอชิงตันกล่าวว่า “ในเวลาเพียงไม่กี่เดือน เขาสามารถเปลี่ยนสถานภาพจากบุคคลไม่พึงประสงค์ (ของสหรัฐฯ) มาเป็นบุคคลผู้ทรงเกียรติที่ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่น” ในห้องทำงานส่วนตัวของโอบามา