เอพี - ผู้บุกรุกที่ปีนรั้วเข้าทำเนียบขาวเมื่อสองสัปดาห์ก่อน แท้จริงแล้วสามารถล่วงล้ำเข้าไปจนถึงส่วนที่พักของประธานาธิบดี ไม่ใช่แค่พื้นที่ชั้นนอกอย่างที่หน่วยอารักขาบุคคลสำคัญของสหรัฐฯ (ซีเคร็ต เซอร์วิส) แถลง ทั้งนี้จากการเปิดเผยของ ส.ส.รีพับลิกันและหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ และทำให้เป็นที่คาดหมายกันว่าผู้อำนวยการของหน่วยงานนี้จะถูกซักละเอียดยิบระหว่างไปให้ปากคำในสภาวันอังคาร (30)
เจสัน แชฟเฟตซ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ สังกัดพรรครีพับลิกัน จากมลรัฐยูทาห์ เปิดเผยเมื่อคืนวันจันทร์ (28 ก.ย.) ว่า มีคนวงในออกมาเปิดโปงข้อมูลต่อคณะกรรมาธิการสภาผู้แทนราษฎร ว่า โอมาร์ เจ. กอนซาเลซ ที่ปีนรั้วและบุกรุกเข้าไปทำเนียบขาวเมื่อวันที่ 19 ก.ย. แท้จริงแล้วสามารถหลบเร้นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหญิงคนหนึ่งที่อยู่ภายในตัวอาคารทำเนียบขาว และเข้าถึงห้องอีสต์รูมที่อยู่ใกล้ประตูห้องกรีนรูม ก่อนถูกจับได้
ทั้งนี้ ในคืนเกิดเหตุ เอ็ด โดโนแวน โฆษก “ซีเคร็ต เซอร์วิส” หรือหน่วยอารักขาบุคคลสำคัญของสหรัฐฯ ได้กล่าวว่า ผู้ต้องสงสัยถูกจับได้หลังจากผ่านประตูทางเข้าด้านเหนือของทำเนียบขาวเท่านั้น และยังบอกว่า ผู้บุกรุกไม่มีอาวุธใดๆ ก่อนที่เขาจะมาแก้ข่าวในวันรุ่งขึ้นว่า กอนซาเลซพกมีดเข้าไปด้วย
ส.ส.แชฟเฟตซ์เสริมว่า ทางคณะกรรมาธิการสภา ได้เคยขอให้ซีเคร็ต เซอร์วิส มาบรรยายสรุปเหตุการณ์ดังกล่าว ทว่าได้รับการปฏิเสธ
จนถึงขณะนี้ ไม่เป็นที่ชัดเจนว่า เจห์ จอห์นสัน รัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาชั้นเหนือของซีเคร็ต เซอร์วิส ได้รับแจ้งเรื่องกอนซาเลซบุกรุกเข้าไปถึงข้างในของทำเนียบขาวแล้วหรือยัง
ในอีกด้านหนึ่ง เจ้าหน้าที่รัฐสภาที่ไม่ประสงค์ออกนามคนหนึ่งเปิดเผยว่า คณะกรรมาธิการตุลาการของวุฒิสภาสหรัฐฯ ซึ่งได้รับฟังการบรรยายสรุปเกี่ยวกับการสอบสวนกรณีดังกล่าวจากคณะรัฐบาลหลังเกิดเหตุหนึ่งสัปดาห์ ไม่เคยได้รับแจ้งว่า กอนซาเลซล่วงล้ำเข้าสู่ตัวอาคารชั้นในของทำเนียบขาว แต่รับรู้เพียงว่า เขาเข้าไปไกลกว่าประตูหน้า
ขณะเดียวกัน หนังสือพิมพ์วอชิงตัน โพสต์รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวไม่เปิดเผยชื่อหลายคนว่า กอนซาเลซ อดีตทหารผ่านศึกอิรักวัย 42 ปีผู้นี้ หลังจากปีนรั้วเข้ามาแล้ว ได้วิ่งผ่านเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่ประตูหน้า ขึ้นบันไดและเข้าสู่ห้องอีสต์รูม หรือห้องจัดเลี้ยงและต้อนรับในส่วนที่พักประธานาธิบดี ซึ่งอยู่ประมาณครึ่งทางของชั้นล่างทั้งหมดของทำเนียบขาว ก่อนถูกจับได้
ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า เมื่อคำนวณจากบริเวณที่กอนซาเลซเข้าถึง หมายความว่า เขาต้องวิ่งผ่านโถงทางเข้าหลัก เลี้ยวและวิ่งผ่านโถงทางเดินกลาง ซึ่งอยู่ครึ่งทางของชั้นล่าง รวมเป็นระยะทาง 168 ฟุต (ราว 51.2 เมตร)
รายละเอียดที่ได้รับการเปิดเผยล่าสุดเหล่านี้คาดว่า จะเป็นประเด็นสำคัญในระหว่างการให้ปากคำของจูเลีย เพียร์สัน ผู้อำนวยการซีเคร็ต เซอร์วิส ต่อคณะกรรมาธิการสภาผู้แทนราษฎร ในวันอังคาร ซึ่งเป็นการให้ปากคำครั้งแรกนับจากเกิดเหตุ
แชฟเฟตซ์สำทับว่า เขาเตรียมซักถามเพียร์สันเกี่ยวกับข้อกังวลที่ผู้เปิดโปงข้อมูลภายในหยิบยกมาบอกเล่าว่า สัญญาณเตือนภัยแจ้งการบุกรุกที่บริเวณประตูทางเข้าทำเนียบไม่ทำงานขณะเกิดเหตุ และว่า คณะกรรมาธิการเพิ่งรู้เมื่อคืนวันจันทร์ว่า เพียร์สันไม่ได้ส่งคำให้การล่วงหน้าตามธรรมเนียมปฏิบัติแต่อย่างใด
นับจากเกิดเหตุ ทำเนียบขาวรับมือกับเรื่องนี้อย่างระมัดระวัง จอช เออร์เนสต์ โฆษกทำนียบขาวยอมรับว่า แม้ “กังวลอย่างชัดเจน” เกี่ยวกับการบุกรุก แต่ล่าสุดจนถึงเมื่อวันจันทร์ (29 ก.ย.) ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ยังคงแสดงเชื่อมั่นในศักยภาพของซีเคร็ต เซอร์วิสเช่นเดิม
ทั้งนี้ อาจเป็นการไม่เหมาะสมที่ประธานาธิบดีจะวิจารณ์บุคลากรที่ยอมเสี่ยงชีวิต เพื่อปกป้องตนและครอบครัว และเนื่องจากตัวประธานาธิบดีมีผลประโยชน์ที่ทับซ้อนกันอยู่เช่นนี้ หลายฝ่ายจึงมองว่ารัฐสภาควรเป็นผู้ทำหน้าที่ตรวจสอบซีเคร็ต เซอร์วิสและเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานนี้ มากกว่าให้ทำเนียบขาวจัดการเอง
นอกจากนั้นยังเป็นที่น่าสังเกตว่า หากผู้บุกรุกมีอาวุธหนัก และประธานาธิบดีและครอบครัวพักอยู่ในทำเนียบขาวขณะเกิดเหตุ ความหละหลวมในการรักษาความปลอดภัยอาจนำไปสู่ผลลัพธ์ร้ายแรง
แม้ในเหตุการณ์คราวนี้ ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บใดๆ ทว่า นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทำเนียบขาวถูกบุกรุก ก่อให้เกิดคำถามว่าเหตุการณ์ล่าสุดเป็นส่วนหนึ่งของรูปแบบความล่าช้าในการรับมือภัยคุกคามหรือไม่ แม้ซีเคร็ต เซอร์วิสยืนกรานปฏิเสธเรื่องนี้ก็ตาม
ในรายงานของวอชิงตัน โพสต์ฉบับสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาระบุว่า ในปี 2011 ซีเคร็ต เซอร์วิสไม่ได้ตอบโต้เหตุการณ์ยิงใส่ทำเนียบขาวทันที โดยเจ้าหน้าที่ซีเคร็ต เซอร์วิสอ้างว่า ไม่แน่ใจที่มาของกระสุน กระทั่งสี่วันให้หลังจึงพบว่า กระสุนอย่างน้อย 1 นัดทำให้กระจกหน้าต่างชั้น 3 ของส่วนที่พักประธานาธิบดีแตก
ขณะเกิดเหตุดังกล่าว โอบามาและมิเชล สุภาพสตรีหมายเลข 1 ของสหรัฐฯ ไม่อยู่ในทำเนียบขาว มีเพียงลูกสาวสองคนที่อยู่ในกรุงวอชิงตัน โดยคนหนึ่งอยู่ในทำเนียบขาวและอีกคนกำลังจะเดินทางกลับในคืนนั้น
ออสการ์ อาร์ ออร์เตกา-เฮอร์นานเดซ จากมลรัฐไอดาโฮ ถูกจับกุมในฐานะคนร้ายและตัดสินจำคุก 25 ปีจากเหตุการณ์ในปี 2011
ในส่วนกอนซาเลซนั้น เคยถูกจับกุมเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาที่มลรัฐเวอร์จิเนีย เนื่องจากพกพาปืนสั้นและกระสุนโดยผิดกฎหมาย รวมทั้งมีแผนที่กรุงวอชิงตันที่ขีดเส้นวงรอบทำเนียบขาวซ่อนไว้ในตัมภีร์ไบเบิล
กอนซาเลซถูกส่งตัวให้ซีเคร็ต เซอร์วิสสอบปากคำ แต่ไม่พบหลักฐานเอาผิดได้จึงได้รับการปล่อยตัว อย่างไร ก็ดี ชายผู้นี้ถูกจับและสอบปากคำอีกครั้งในวันที่ 25 สิงหาคม ขณะเดินด้อมๆ มองๆ แถวแนวรั้วด้านใต้ของทำเนียบขาว โดยพกขวานด้ามเล็ก แต่ไม่มีอาวุธปืน และครั้งนี้เขาได้รับการปล่อยตัวเช่นเดิม หลังจากค้นภายในรถและไม่พบสิ่งผิดกฎหมาย