เอเอฟพี - ประธานาธิบดี เบนิโญ อากีโน แห่งฟิลิปปินส์ ได้นำร่างกฎหมาย ซึ่งเสนอให้มีการจัดตั้งเขตปกครองตนเองของชนกลุ่มน้อยชาวมุสลิมในแดนตากาล็อก เข้าสู่รัฐสภาในวันนี้ (10 ก.ย.) ถือเป็นการยุติหนึ่งในกรณีความขัดแย้งที่ยาวนานและรุนแรงที่สุดของเอเชีย
การเสนอร่างกฎหมายให้รัฐสภาฟิลิปปินส์พิจารณาครั้งนี้ถือเป็นความเคลื่อนไหวที่สำคัญมาก เนื่องจากเป็นผลิตผลจากการเจรจาอย่างเข้มข้นนานหลายเดือน จนในที่สุด อากีโน กับกลุ่ม “แนวร่วมปลดปล่อยอิสลามโมโร” (MILF) ก็สามารถเห็นตรงกันในตัวบทกฎหมายทั้งฉบับ ที่มอบอำนาจปกครองตนเองในพื้นที่บนเกาะมินดาเนา ทางตอนใต้ของประเทศ
อากีโน แถลงหลังจากมอบร่างกฎหมายฉบับดังกล่าวให้เหล่าผู้นำสภาคองเกรสว่า “เรายังต้องสร้างความก้าวหน้าที่สำคัญอีกก้าวหนึ่ง เพื่อให้เกาะมินดาเนาสงบสุข และเจริญรุดหน้ายิ่งขึ้นกว่าเดิม”
เขาได้เรียกร้องให้รัฐสภาอนุมัติร่างกฎหมายพื้นฐานฉบับนี้ “ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้” เพื่อให้บรรดาผู้นำ MILF ได้ปกครองดินแดนที่ครอบคลุมพื้นที่ 10 เปอร์เซ็นต์ของฟิลิปปินส์
อากีโนกล่าวว่า การจัดตั้งเขตปกครองตนเองจะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตชาวมุสลิม ที่จัดอยู่ในกลุ่มประชากรที่ยากจนที่สุดกลุ่มหนึ่ง ในประเทศที่มีพลเมือง 100 ล้านคน และส่วนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์ นิกายโรมันคาทอลิกแห่งนี้
ตามกรอบเวลาในข้อตกลงสันติภาพ รัฐสภาฟิลิปปินส์จะอนุมัติร่างกฎหมายฉบับนี้ก่อนสิ้นปีนี้ ให้ อากีโน มีเวลาตั้งรัฐบาลเขตปกครองตนเอง ก่อนที่เขาจะสิ้นสุดวาระการดำรงตำแหน่งผู้นำ 6 ปีในกลางปี 2016
ทันทีที่สภาคองเกรสผ่านร่างกฎหมายฉบับนี้ออกมา ก็จะมีการจัดการลงประชามติในท้องถิ่นขึ้นในปี 2015
นอกจากนี้ ข้อตกลงฉบับนี้กำหนดว่ากลุ่ม MILF จะต้องปลดอาวุธ ตามข้อบังคับขององค์การสังเกตการณ์ระหว่างประเทศ
ถึงแม้ ประธานวุฒิสภา แฟรงคลิน ดรีลอน และส.ว.เฟอร์ดินันด์ มาร์กอส จูเนียร์ จากพรรคฝ่ายค้านจะเตือนว่า รัฐสภาไม่น่าจะอนุมัติร่างกฎหมายได้ทันสิ้นปีนี้ แต่พวกเขาชี้ว่า ร่างกฎหมายฉบับนี้ได้รับการสนับสนุนอย่างกว้างขวาง
การลุกฮือขึ้นก่อกบฎได้เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ก่อน 40 ปีที่แล้ว ในสมัยที่ฟิลิปปินส์อยู่ภายใต้การปกครองของ เฟอร์ดินันด์ มาร์กอส ผู้นำเผด็จการซึ่งล่วงลับไปแล้ว และได้ส่งผลให้มีประชาชนเสียชีวิตไปกว่า 120,000 คนนับตั้งแต่นั้นมา
โมฮักเฮอร์ อิบัล ผู้นำในการเจรจาฝ่ายกบฏกล่าวว่า สมาชิกนักรบราว 10,000 คนของกลุ่ม MILF วิตกกังวลในเรื่องความล่าช้าในขั้นตอนการพิจารณาร่างกฎหมาย แต่ก็เชื่อว่ารัฐสภาจะอนุมัติร่างกฎหมายฉบับนี้ได้ทันตามกรอบเวลาที่ทั้งสองฝ่ายได้ตกลงกันไว้
ทางด้าน องค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ประจำกรุงมะนิลาก็ได้ออกมาแสดงความยินดีกับรัฐบาลฟิลิปปินส์ และกลุ่ม MILF อีกทั้งกล่าวว่า พร้อมจะสนับสนุนให้มีการบังคับใช้กฎหมายฉบับนี้