เอเอฟพี - ประธานาธิบดี เบนิโญ อากิโน แห่งฟิลิปปินส์ ประกาศแผนจัดซื้อเครื่องบินรบ, ระบบเรดาร์ และอาวุธยุทโธปกรณ์อันทันสมัยอื่นๆ เพื่อเสริมศักยภาพกองทัพอากาศฟิลิปปินส์ให้กลับมาเข้มแข็งภายใน 3 ปีข้างหน้า ในขณะที่ฟิลิปปินส์กำลังเผชิญปัญหาข้อพิพาทในทะเลจีนใต้กับปักกิ่ง
อากิโน ซึ่งเดินทางไปเยือนฐานทัพอากาศคลาร์กทางตอนเหนือของกรุงมะนิลา วันนี้(1) กล่าวสุนทรพจน์ซึ่งถ่ายทอดสดไปทั่วประเทศว่า “ผมขอสัญญาว่า ก่อนที่รัฐบาลชุดนี้จะหมดวาระลง น่านฟ้าฟิลิปปินส์จะต้องมีระบบป้องกันภัยทางอากาศที่ทันสมัย”
อาวุธยุทโธปกรณ์ที่ อากิโน เอ่ยถึงประกอบด้วย เครื่องบินรบ, เครื่องบินลาดตระเวนระยะไกล, เครื่องบินสำหรับภารกิจสนับสนุนอย่างใกล้ชิด (close-air-support aircraft), เครื่องบินขนส่ง, เฮลิคอปเตอร์โจมตีอเนกประสงค์, ระบบเรดาร์ป้องกันภัย และโปรแกรมจำลองการบิน
ทั้งนี้ ผู้นำแดนตากาล็อกไม่ได้เผยรายละเอียดของเครื่องบินหรืออุปกรณ์สนับสนุนที่จะจัดซื้อ รวมไปถึงเงื่อนไขของการจัดซื้อดังกล่าวด้วย
เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา โฆษกของ อากิโน ออกมาประกาศว่ารัฐบาลจะสั่งซื้อเครื่องบินรบรุ่น เอฟเอ-50 จากเกาหลีใต้ รวมทั้งสิ้น 12 ลำ เพื่อใช้ในภารกิจ “ฝึกบิน, การขัดขวางมิให้เข้าประเทศ และเพื่อตอบสนองภัยพิบัติต่างๆ”
ฟิลิปปินส์ซึ่งเคยถูกปกครองโดยสหรัฐฯ ปลดระวางฝูงบิน เอฟ-5 มาตั้งแต่ปี 2005 และยังไม่มีระบบป้องกันภัยทางอากาศใหม่ๆ มาทดแทน
ประธานาธิบดี อากิโน ซึ่งจะหมดวาระดำรงตำแหน่ง 6 ปี ในช่วงกลางปี 2016 ตั้งเป้าที่จะฟื้นฟูกองทัพให้ทันสมัยภายใน 3 ปีแรก เพื่อรับมือปัญหาหมู่เกาะและพื้นที่ทับซ้อนในทะเลจีนใต้ ซึ่งทำให้ความสัมพันธ์มะนิลากับปักกิ่งตึงเครียดหนักในช่วงไม่กี่ปีมานี้
ในเบื้องต้น อากิโน ให้ความสำคัญต่อกองทัพเรือเป็นอันดับแรก โดยได้จัดซื้อเรือลาดตระเวน (cutter) ชั้นแฮมิลตันที่หน่วยยามฝั่งสหรัฐฯปลดระวางแล้วมาใช้งานต่อ
เรือซึ่งผ่านการตบแต่งใหม่ลำแรกถูกส่งมอบแก่กองทัพเรือฟิลิปปินส์เมื่อปี 2011 โดยเข้ามาแทนที่เรือรบอีกลำหนึ่งที่ต่อขึ้นเพื่อให้กองทัพสหรัฐฯ ใช้งานในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ส่วนเรือลำที่สองจะถูกส่งมอบภายในปีนี้
รัฐสภาฟิลิปปินส์อนุมัติงบประมาณ 75,000 ล้านเปโซ (ราว 53,900 ล้านบาท) แก่กระทรวงกลาโหม เพื่อใช้เสริมศักยภาพกองทัพให้ทันสมัยภายในระยะเวลา 5 ปีข้างหน้า
อากิโน ระบุว่า ระหว่างปี 1992-2010 ฟิลิปปินส์ใช้งบประมาณปรับปรุงศักยภาพกองทัพไปเพียง 33,000 ล้านเปโซเท่านั้น (ราว 23,720 ล้านบาท)