เอเอฟพี - ออสเตรเลียวันนี้ (13 มี.ค.) ออกมาประกาศว่า มีแผนจะใช้อากาศยานไร้นักบิน (โดรน) ขนาดใหญ่รุ่นไฮเทคหลายลำ ตรวจการณ์บริเวณพรมแดนของประเทศ เพื่อเฝ้าระวังโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน และผู้พยายามลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย
นายกรัฐมนตรี โทนี แอ็บบอตต์ แห่งออสเตรเลียระบุว่า อากาศยานไร้นักบิน “ไทรตัน” ซึ่งสามารถบินได้นาน 33 ชั่วโมง จะถูกส่งไปประจำการที่เมืองแอดิเลด ทางตอนใต้ของแดนจิงโจ้
รายงานฉบับเดือนกุมภาพันธ์ระบุว่า ออสเตรเลียจะซื้อโดรนที่ผลิตในสหรัฐฯ 7 ลำ เป็นเงิน 3 พันล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย (ราว 8.8 หมื่นบาท) แต่ส่วนจะสั่งซื้อจำนวนเท่าใด เมื่อไร และในราคาเท่าใดนั้น แอ็บบอตต์ระบุว่ายังต้องตกลงกันอีกที
เขากล่าวว่า “อากาศยานเหล่านี้จะบินตรวจการณ์เหนือมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ไพศาลของออสเตรเลีย โดยจะทำงานร่วมกับทรัพย์สินอื่นๆ ของกองกำลังป้องกันออสเตรเลียที่มีอยู่แล้ว และกำลังจะมีในอนาคตอย่างใกล้ชิด เพื่อรักษาทรัพยากรในมหาสมุทรของเรา เป็นต้นว่า ทรัพยากรพลังงาน ซึ่งอยู่นอกชายฝั่งทางเหนือของออสเตรเลีย และช่วยพิทักษ์ชายแดน”
“อากาศยานเหล่านี้จะช่วยพัฒนาศักยภาพในการตรวจการณ์ทางทะเลให้แก่กองกำลังป้องกันออสเตรเลียอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน โดยจะปฏิบัติภารกิจในระดับความสูง 55,000 ฟุต ในพิสัยที่ไกลมาก และบินได้นานถึง 33 ชั่วโมง”
ทั้งนี้ คาดหมายกันว่า ออสเตรเลียซึ่งเป็นชาติพันธมิตรอันใกล้ชิดของสหรัฐฯ จะใช้โดรนตรวจการณ์เหนือมหาสมุทรอินเดีย ซึ่งเป็นหนึ่งในเส้นทางที่อุดมไปด้วยทรัพยากรพลังงานที่สำคัญมากที่สุดในโลก
นอกจากนี้ แดนจิงโจ้ยังสามารถใช้โดรนตรวจจับชาวประมง และผู้แสวงหาที่พักพิงที่มักแล่นเรือไม้สภาพผุพังจากอินโดนีเซียหรือศรีลังกา เข้ามาในน่านน้ำทางเหนือของแดนจิงโจ้อย่างผิดกฎหมายอยู่บ่อยครั้ง
การประกาศครั้งนี้มีขึ้นเพียงไม่กี่สัปดาห์ หลังกรุงแคนเบอร์ราออกมาเปิดเผยว่า จะซื้ออากาศยาน “โพไซดอน” 8 ลำ ในมูลค่า 4 พันล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย (ราว 1.2 แสนล้านบาท) เพื่อเสริมสร้างศักยภาพในการตรวจการณ์ และการโจมตีทางทะเลในอีกไม่กี่ทศวรรษข้างหน้า
แอ็บบอตต์ชี้ว่า “โดยพิจารณาจากเหตุผลที่ว่าออสเตรเลียต้องรับผิดชอบพื้นที่ 11 เปอร์เซ็นต์ของมหาสมุทรโลก การพัฒนาขีดความสามารถในการตรวจการณ์ทางทะเลให้มีประสิทธิภาพจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก”
ทั้งนี้ การใช้อากาศยานไร้นักบินขนาดใหญ่ลาดตระเวนตามพรมแดนของประเทศ เป็นสิ่งที่พิจารณากันมานานนับทศวรรษแล้ว แต่รัฐบาลพรรคกรรมกรชุดที่ผ่านมาไม่ได้อนุมัติแนวคิดนี้ เนื่องจากเชื่อว่าเทคโนโลยียังไม่พัฒนาไปมากพอ