เอเจนซีส์ - ทหารรัฐบาลซีเรียประสบความสำเร็จในการบุกเข้ายึดหมู่บ้านสำคัญใกล้เมืองฮอมส์ ทางตอนกลางของประเทศในวันเสาร์ (8) ส่งผลให้พื้นที่ทั้งหมดตลอดแนวชายแดนซีเรีย-เลบานอน กลับมาอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลดามัสกัสได้เป็นครั้งแรกในรอบกว่า 2 ปี
รายงานข่าวซึ่งอ้างข้อมูลจากกลุ่มเคลื่อนไหวซีเรียน ออบเซอร์วาทอรี ฟอร์ ฮิวแมน ไรต์ส ซึ่งมีฐานอยู่ในอังกฤษ และมีจุดยืนต่อต้านรัฐบาลประธานาธิบดี บาชาร์ อัล-อัสซาด ระบุว่า กองกำลังของฝ่ายรัฐบาลซีเรียประสบความสำเร็จในการยึดคืนหมู่บ้านอัล-ซารา ทางตะวันตกของเมืองฮอมส์ คืนจากฝ่ายกบฏ หลังการสู้รบอย่างหนักหน่วง ซึ่งทำให้ทั้งสองฝ่ายสูญเสียกำลังพลไปเป็นจำนวนมาก แม้จะยังไม่สามารถยืนยันตัวเลขความสูญเสียที่แน่ชัดได้ในเวลานี้
ทั้งนี้ หมู่บ้านอัล-ซารา ที่มีประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิมสุหนี่ ถูกระบุว่า เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญที่เชื่อมต่อพื้นที่ตอนกลางของซีเรียเข้ากับชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และถูกใช้เป็นเส้นทางลำเลียงอาวุธรวมถึงเสบียงของฝ่ายกบฏ
ก่อนหน้านี้ ดาวีด การ์เทนสไตน์-รอสส์ ผู้เชี่ยวชาญจากองค์กร “Foundation for the Defense of Democracies” ที่มีฐานอยู่ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี.ของสหรัฐฯให้ความเห็นต่อคณะกรรมาธิการการต่างประเทศของวุฒิสภาสหรัฐฯโดยระบุ ในขณะนี้การล่มสลายของระบอบการปกครองของอัสซาดในซีเรียแทบจะไม่มีความเป็นไปได้อีกแล้ว เนื่องจากรัฐบาลซีเรียได้รับการสนับสนุนอย่างขนานใหญ่ทั้งด้านการเงินและอาวุธจากอิหร่าน และรัสเซีย อีกทั้งยังมีรัสเซียที่คอยให้การปกป้องในเวทีโลก
โดยความเข้มแข็งของรัฐบาลอัสซาดในเวลานี้ สวนทางอย่างสิ้นเชิงกับมุมมองของบรรดานักวิเคราะห์จากสำนักต่างๆ เมื่อกว่า 1 ปีที่ผ่านมาที่ต่างฟันธงว่า รัฐบาลซีเรียกำลังก้าวสู่การ “นับถอยหลัง” สู่การถูกโค่นอำนาจ แต่ถึงกระนั้น การ์เทนสไตน์-รอสส์ ชี้ว่าแสนยานุภาพของฝ่ายอัสซาดในเวลานี้ ก็ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้คว้าชัยชนะในสงครามได้อย่างเบ็ดเสร็จ
การ์เทนสไตน์-รอสส์ ระบุนอกจากรัฐบาลอัสซาดจะแข็งแกร่งขึ้นแล้ว ในทางกลับกัน นักรบฝ่ายกบฏซีเรียที่เกิดจากการผนึกกำลังกันอย่างหลวมๆ ของพวก “สายกลาง” และพวก “อิสลามิสต์” ก็กำลังแตกแยกกันอย่างหนักถึงขั้นที่มีการจับอาวุธเข่นฆ่ากันเอง และเมื่อประกอบกับการเปลี่ยนจุดยืนของรัฐบาลสหรัฐฯภายใต้การนำของประธานาธิบดี บารัค โอบามา ที่ล้มเลิกแผนหนุนกบฏซีเรียกลางคัน เพราะกลัวการขยายอิทธิพลของพวกอิสลามิสต์แล้ว ยิ่งทำให้ฝ่ายกบฏซีเรียอ่อนกำลังลงอย่างสำคัญ
ผู้เชี่ยวชาญรายนี้ยังอ้างข้อมูลจากหน่วยงานด้านข่าวกรองของสหรัฐฯล่าสุดที่ประเมินว่า การสู้รบในซีเรียอาจยืดเยื้อออกไปอีกนานกว่า 10 ปี หรือมากกว่านั้น เนื่องจากไม่มีฝ่ายใดสามารถเอาชนะอีกฝ่ายหนึ่งได้อย่างเด็ดขาด ขณะที่ความพยายามของนานาชาติในการผลักดันให้เกิดการเจรจาสันติภาพ 2 รอบที่นครเจนีวา ที่ผ่านมาก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ
ด้าน บิล เบิร์นส์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ยืนยันว่า รัฐบาลอเมริกันยังมิได้เปลี่ยนจุดยืนต่อความขัดแย้งในซีเรียโดยย้ำว่า สหรัฐฯยังคงมองระบอบการปกครองของบาชาร์ อัล-อัสซาดว่า เป็น “ภัยคุกคาม” ต่อผลประโยชน์แห่งชาติของสหรัฐฯ และเชื่อว่า ความขัดแย้งในซีเรียจะไม่มีวันยุติ ตราบใดที่อัสซาดยังอยู่ในอำนาจ
อย่างไรก็ดี ผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ปฏิเสธที่จะยอมรับว่า การคงอยู่ของรัฐบาลอัสซาดในซีเรียจะช่วยสกัดกั้นการขยายอิทธิพลของกลุ่มติดอาวุธอิสลามิสต์ที่มีความเชื่อมโยงกับเครือข่ายก่อการร้ายระดับโลกอย่าง “อัลกออิดะห์”
ทั้งนี้ ข้อมูลล่าสุดระบุว่า สงครามกลางเมืองในซีเรียที่ดำเนินมาเกือบครบ 3 ปี ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตแล้วมากกว่า 140,000 คน ขณะที่ชาวซีเรีย 6.5 ล้านคนต้องกลายเป็นผู้อพยพหนีภัยการสู้รบภายในประเทศ และอีกมากกว่า 2.5 ล้านคน ได้หนีเข้าไปยังประเทศเพื่อนบ้าน