xs
xsm
sm
md
lg

‘สีจิ้นผิง’ใช้ยุทธวิธี ‘แบ่งแยกแล้วปกครอง’

เผยแพร่:   โดย: ฟรานเชสโก ซิสซี

(เก็บความจากเอเชียไทมส์ออนไลน์ www.atimes.com)

Xi divides and rules
By Francesco Sisci
19/11/2013

พวกผู้นำจีนคาดการณ์กันว่า แผนการรวมศูนย์อำนาจเข้าสู่ส่วนกลางของพวกเขา จะถูกต่อต้านคัดค้านหนักหน่วงที่สุด จากประดากลุ่มคนที่มีผลประโยชน์ผูกพันเหนียวแน่นกับระบบเก่าซึ่งอยู่ในระดับท้องถิ่น นี่เองคือเหตุผลที่ทำไมนับตั้งแต่นี้ไป ระบบตุลาการของแดนมังกร แม้ยังคงถูกควบคุมจากปักกิ่ง แต่ก็ได้รับการผ่อนสายบังเหียนเพื่อให้มีความเป็นอิสระมากขึ้น โดยที่เราสามารถคาดหมายได้ด้วยว่า การไต่สวนพิจารณาคดีทุจริตคอร์รัปชั่นต่างๆ ซึ่งจะมีขึ้นต่อจากนี้ไป จะกลายเป็นกรณีตัวอย่างแสดงถึงการที่ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง นำเอายุทธวิธี “แบ่งแยกแล้วปกครอง” อันเก่าแก่ มาใช้งาน

ปักกิ่ง – ภายหลังผ่านพ้นการประชุมคณะกรรมการกลางเต็มคณะของพรรคคอมมิวนิสต์จีนเมื่อช่วงกลางเดือนที่ผ่านมา ซึ่งได้มีการรวมศูนย์อำนาจให้มาอยู่ในมือของคณะผู้นำระดับสูงสุดของจีน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในมือของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง แล้ว คำถามใหญ่ต่อๆ ไปที่ถูกหยิบยกขึ้นมาตั้งปุจฉา ก็คือเรื่องที่ว่าอำนาจเหล่านี้จะใช้กันอย่างมีประสิทธิภาพเพียงใด, จะมีการแบ่งอำนาจมากมายขนาดไหนให้แก่คณะผู้นำส่วนกลาง 2 ชุดที่จะจัดตั้งขึ้นมาใหม่ โดยที่ชุดหนึ่งจะรับภาระหน้าที่ในการวางแผนการและในการดำเนินการปฏิรูปด้านต่างๆ ส่วนอีกชุดหนึ่งจะทำหน้าที่เป็นสภาความมั่นคงแห่งชาติ ซึ่งรับผิดชอบกิจการด้านความมั่นคงปลอดภัยทั้งภายในและภายนอกประเทศ

สำหรับแรงต่อต้านคัดค้านความเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ เหล่านี้นั้น คาดหมายกันว่าส่วนใหญ่ที่สุดน่าจะมาจากพวกผู้นำในระดับท้องถิ่น ซึ่งต้องตกเป็นผู้ที่สูญเสียมากที่สุดในแผนการรวมศูนย์อำนาจไปอยู่ในปักกิ่งเช่นนี้ และก็ด้วยเหตุผลข้อนี้เอง การที่ฝ่ายตุลาการได้รับบทบาทใหม่ๆ เพิ่มเติมกว้างขวางขึ้นกว่าเดิมมากมาย โดยที่แถลงการณ์ของการประชุมเต็มคณะระบุว่า ฝ่ายตุลาการจะมี “อำนาจความรับผิดชอบ” (authoritative ในภาษาจีนใช้คำว่า quanwei) นั้น จึงเป็นจุดที่มีความสำคัญยิ่ง

นี่ไม่ได้หมายความว่า ต่อแต่นี้ไปฝ่ายตุลาการจะเป็นอิสระจากคณะผู้นำสูงสุดของพรรคคอมมิวนิสต์จีน หากแต่พรรคจะผ่อนสายบังเหียนให้เหล่าผู้พิพากษาและเหล่าอัยการในระดับมณฑล มีเสรีภาพมากขึ้นในการเดินหน้าติดตามฟ้องร้องดำเนินคดีทางด้านการทุจริตคอร์รัปชั่น โดยที่จวบจนถึงเวลานี้ ความผิดลักษณะดังกล่าวนี้ ส่วนใหญ่ที่สุดรวมศูนย์อยู่ที่สายสัมพันธ์อันไม่ถูกต้องเหมาะสม ในระหว่างพวกผู้บริหารระดับท้องถิ่นกับพวกรัฐวิสาหกิจ

จากส่วนประกอบนี้เอง แสดงให้เราเห็นว่า สี นั้นกำลังตระเตรียมรับมือด้วยความคิดที่ว่า การต่อสู้ภายในพรรคที่มุ่งคัดค้านต่อต้านการดำเนินการปฏิรูปของเขา จะดำเนินไปอย่างยาวนานและอย่างยืดเยื้อ เขากำลังเตรียมตัวต่อสู้กับการต่อต้านคัดค้านเช่นนี้ด้วยวิธีการจับกุมและการนำตัวขึ้นพิจารณาคดีในศาล การกระทำดังกล่าว ควรที่จะทำให้เขาได้รับความสนับสนุนจากประชาชน ผู้ซึ่งน่าจะพออกพอใจที่จะได้เห็นพวกเจ้าหน้าที่ทุจริตประพฤติมิชอบถูกลงโทษติดคุก นอกจากนั้นแล้ว การกระทำเช่นนี้ยังเป็นการถอนรากถอนโคน หรืออย่างน้อยก็บั่นทอนสร้างความอ่อนแอ ให้แก่พวกที่ต้องการจะต่อต้านคัดค้านแนวทางใหม่ทั้งหลายทั้งปวงอีกด้วย

ในที่นี้มีประเด็นซึ่งอยู่ในลักษณะเชิงปฏิบัติมากๆ ที่จะต้องแก้ไขคลี่คลาย โป๋ ซีไหล (Bo Xilai) อดีตเลขาธิการพรรคสาขามหานครฉงชิ่งผู้ถูกถอดจากอำนาจอย่างเสื่อมเกียรติ สามารถที่จะสถาปนาอำนาจควบคุมเหนือเมืองใหญ่ทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ของแดนมังกรแห่งนั้นได้ ก็ด้วยวิธีการใช้อำนาจควบคุมของฝ่ายตุลาการไปเล่นงานปรปักษ์ต่างๆ อย่างไร้ความปรานีนั่นเอง ใครก็ตามไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่, นักธุรกิจ, หรือประชาชนคนสามัญ ซึ่งคัดค้านต่อต้านเจตนารมณ์ของเขา จะถูกตีตราว่าเป็นพวกแก๊งอาชญากร และถูกโยนเข้าคุกหรือกระทั่งถูกประหารชีวิต

ทั้งนี้ในตอนนั้นปักกิ่งไม่สามารถทำการแทรกแซงใดๆ เพื่อช่วยเหลือคนเหล่านั้นเอาเลย ที่เป็นเช่นนั้นเหตุผลสำคัญที่สุดอยู่ที่ว่า ฝ่ายตุลาการในระดับมณฑลตกอยู่ใต้การบังคับบัญชาสั่งการของผู้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคสาขาท้องถิ่นนั่นเอง แต่มาถึงตอนนี้สภาวการณ์กำลังจะมีการเปลี่ยนแปลงแล้ว กล่าวคือ ฝ่ายตุลาการระดับมณฑลจะขึ้นกับศาลสูงสุดในปักกิ่ง และคณะผู้นำสูงสุดของศูนย์กลางพรรคในปักกิ่ง ขณะที่สายสัมพันธ์ในระดับท้องถิ่นจะถูกผ่อนให้หลวมให้คลายตัวมากขึ้น เมื่อเป็นเช่นนี้ก็จะเป็นเรื่องยากลำบากขึ้นเยอะที่จะมี โป๋ ซีไหล อีกคนหนึ่งก้าวผงาดขึ้นมา

ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีข้อเท็จจริงอยู่ว่าประชาชนทั่วไปไม่มีความเชื่อถือไว้วางใจพวกเจ้าหน้าที่ระดับท้องถิ่นเอาเลย ผู้คนจำนวนมากมีเรื่องเล่าเยอะแยะเกี่ยวกับพวกหัวหน้าระดับหมู่บ้านถูกส่งตัวฟ้องร้องต่อศาลระดับอำเภอ แต่แล้วผู้พิพากษาระดับท้องถิ่นกลับออกมาพิจารณาตัดสินคดีชนิดที่ปกป้องช่วยเหลือคนเหล่านี้ กระนั้นก็ตาม ประชาชนส่วนใหญ่ทีเดียวยังคงเชื่อว่าส่วนกลางที่ปักกิ่งจะสามารถปัดเป่าแก้ไขความผิดพลาดทั้งหลายทั้งปวงได้ และด้วยเหตุผลข้อนี้เองพวกเขาจึงพากันเดินทางเข้าสู่เมืองหลวงด้วยความหวังที่จะร้องเรียนความทุกข์ยากของพวกเขา

การปฏิรูประบบตุลาการ ควรที่จะสร้างช่วงห่างระหว่างอัยการ, ผู้พิพากษา, และผู้บริหารระดับท้องถิ่น ให้มากขึ้นกว่าในปัจจุบัน หากทำได้เช่นนั้น ฝ่ายตุลาการก็น่าที่จะปฏิบัติงานสนองความต้องการของประชาชนได้ดีขึ้นอีกมาก ส่วนประกอบนี้แหละคือขั้นตอนแรกซึ่งทรงความสำคัญอย่างยิ่งยวดสำหรับการดำเนินการปฏิรูปทางการเมืองให้ตลอดรอดฝั่ง ขณะที่พรรคยังคงกุมอำนาจสูงสุดอยู่ในปักกิ่ง แต่เพื่อทำให้การครองอำนาจของพรรคมั่นคงแข็งแกร่งยิ่งขึ้น พรรคจะต้องยอมแบ่งสรรอำนาจไปให้แก่ระดับท้องถิ่น การปฏิรูปทางด้านตุลาการ จะเป็นสร้างระบบการแบ่งแยกอำนาจระหว่างผู้บริหารท้องถิ่นกับศาลขึ้นมาอย่างแท้จริงเป็นครั้งแรก

การแบ่งแยกอำนาจเช่นนี้ จะเป็นตัวเสริมพลังของตลาด ที่จะได้รับอนุญาตให้มีบทบาทเพิ่มขึ้นอย่างใหญ่หลวง โดยที่ในทางกลับกัน การเพิ่มบทบาทของตลาด ย่อมเป็นการลิดรอนอภิสิทธิ์จำนวนมากมายของพวกรัฐวิสาหกิจนั่นเอง

ถัดจากนั้น และก็ด้วยจุดมุ่งหมายที่จะแผ่ขยายตลอดจนปรับปรุงยกระดับการปกครองประเทศของตนเองในสภาวการณ์ที่ทั้งสังคมและโลกต่างมีความสลับซับซ้อนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ปักกิ่งได้ตัดสินใจที่จะยอมปล่อยอำนาจควบคุมที่ตนเองมีอยู่เหนือเศรษฐกิจออกไปบางส่วน และหยิบเอานโยบายแบบ แบ่งแยกแล้วปกครอง มาใช้ในระดับมณฑล

พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ คณะผู้นำสูงสุดของจีนกำลังพยายามที่จะจัดการกับการแบ่งแยกกันภายในพรรค ระหว่างฝ่ายต่างๆ ซึ่งมีผลประโยชน์ผูกพันเหนียวแน่นกับระบบเก่าในแง่มุมผิดแผกกันและก็ทำศึกแย่งชิงกันเอง ด้วยการใช้วิธีการแบ่งแยกอำนาจระหว่างฝ่ายต่างๆ ภายนอก (เช่นระหว่างฝ่ายบริหารในท้องถิ่น กับฝ่ายตุลาการในท้องถิ่น) โดยที่มีแนวโน้มด้วยว่าการแบ่งแยกอำนาจระหว่างฝ่ายต่างๆ ภายนอกเช่นนี้ จะมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

ข้อความที่กล่าวมาทั้งหมดเหล่านี้ ขอโปรดอย่าได้เข้าใจผิดนะครับ จีนไม่ได้มีระบบการแบ่งแยกอำนาจปกครองออกเป็น 3 ส่วนตามแบบตะวันตก (อำนาจบริหาร, อำนาจนิติบัญญัติ, อำนาจตุลาการ) ทว่าคณะผู้นำนั้นเข้าอกเข้าใจเป็นอันดีว่า การแตกแยกออกมาเป็นฝักฝ่ายต่างๆ ภายในพรรค กลายเป็นปัจจัยที่คอยสกัดกั้นขัดขวางการปฏิรูปด้านต่างๆ ตลอดจนคอยสกัดกั้นขัดขวางการใช้อำนาจหน้าที่อย่างทรงประสิทธิภาพของส่วนกลาง ขณะที่การกระจายอำนาจไปยังระดับท้องถิ่นและไปในภาคส่วนที่ไม่ใช่ยุทธศาสตร์ กลับเป็นสิ่งที่สนับสนุนเชิดชูอำนาจบารมีของผู้นำส่วนกลาง

ตรงนี้ไม่ใช่แนวความคิดที่ใหม่เอี่ยมอะไรเลย พวกผู้ปกครองของจักรวรรดิโรมันนั้นรู้จักหลักการแห่งการใช้อำนาจความรับผิดชอบอย่างทรงประสิทธิภาพเป็นอันดี และด้วยเหตุนี้จึงพูดกันเป็นภาษิตภาษาละตินว่า “divide et impera” หรือ แบ่งแยกแล้วปกครอง ในยุคหลังๆ ต่อมา พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ของฝรั่งเศสในยุคคริสต์ศตวรรษที่ 17 ก็ได้ใช้วิธีจัดสรรอำนาจความรับผิดชอบเพิ่มมากขึ้น ให้แก่พวกข้าราชการระดับท้องถิ่นที่เพิ่งตั้งเนื้อตั้งตัวกันขึ้นมาใหม่ๆ (มีความเป็นไปได้ทีเดียวว่า พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ทรงได้รับแรงบันดาลใจในเรื่องนี้จากเอกสารของพวกเยซูอิตที่แปลงานเขียนคลาสสิกชิ้นต่างๆ ของจีน ตลอดจนหยิบยกแสดงตัวอย่างต่างๆ ในสถานการณ์ของแดนมังกร) และยื่นสิทธิต่างๆ เพิ่มมากขึ้นให้แก่พวกชนชั้นกลางที่กำลังเติบใหญ่ขึ้นมา ทั้งนี้ก็ด้วยจุดประสงค์ที่จะรวมศูนย์อำนาจต่างๆ ให้มาอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์เอง และลิดรอนอำนาจออกไปจากมือพวกขุนนางชนชั้นสูงซึ่งเอาแต่เที่ยวแสดงฤทธิ์เดชและโอหังเย่อหยิ่ง

หลักการแห่งการแบ่งอำนาจให้แก่ระดับชั้นล่างด้วยความระมัดระวัง แต่รวมศูนย์อำนาจความรับผิดชอบมาอยู่ที่ระดับสูงสุด ก็เป็นวิธีการที่อังกฤษมานะพยายามนำมาใช้อย่างประสบความสำเร็จ ในการปกครองดินแดนอันกว้างใหญ่ไพศาลของจักรวรรดิอินเดีย โดยที่ใช้ข้าราชการจำนวนเพียงไม่กี่พันคน

ด้วยเหตุฉะนี้ สี จึงกำลังค้นพบหลักการอันเก่าแก่แห่งการใช้อำนาจ นั่นก็คือ คุณไม่สามารถควบคุมทุกสิ่งทุกอย่าง แต่เพื่อให้ดำเนินการควบคุมได้อย่างมีประสิทธิภาพ คุณจะต้องแบ่งแยกลูกน้องของคุณ ในช่วงจังหวะเวลาแห่งประวัติศาสตร์นี้ รัฐบาลกลางของจีนกำลังเพิ่มการควบคุมของตน ด้วยการค่อยๆ รัดคอบีบคั้นและเปลี่ยนแปลงดัดแปลงกลุ่มที่มีผลประโยชน์แนบแน่นผูกพันกับระบบเก่าทั้งหลาย โดยอาศัยวิธีการหลายๆ อย่างผสมผสานกัน ทั้งการรวมศูนย์อำนาจ, การแบ่งแยกอำนาจ, และการใช้ฝ่ายตุลาการอย่างชาญฉลาด

ฟรานเชสโก ซิสซี เป็นคอลัมนิสต์ให้กับ อิล โซเล 24 โอเร (Il Sole 24 Ore) หนังสือพิมพ์รายวันในอิตาลี สามารถที่จะติดต่อเขาทางอีเมล์ได้ที่ fsisci@gmail
กำลังโหลดความคิดเห็น