เอเจนซีส์ – สื่อดังอเมริกันเผย เพนตากอนจะขยายปฏิบัติการโจมตีซีเรียให้หนักหน่วงยิ่งขึ้นและยาวนานขึ้นอีกจากแผนการเดิม 2 วัน เป็น 3 วัน ขณะที่ประธานาธิบดี บารัค โอบามา ก็เตรียมออกทีวีขอการสนับสนุนจากประชาชนและรัฐสภาสหรัฐฯ ส่วนรัฐมนตรีต่างประเทศ จอห์น เคร์รี เดินสายล็อบบีนานาชาติอย่างคึกคัก คุยได้แนวร่วมมากกว่าที่ต้องการแล้ว ภายหลังสหภาพยุโรป (อียู) ออกคำแถลงเรียกร้องนานาชาติตอบโต้รัฐบาลประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด แห่งซีเรีย ในขั้นรุนแรง
หนังสือพิมพ์ลอสแองเจลิสไทมส์ฉบับวันอาทิตย์ (8) รายงานโดยอ้างการเปิดเผยของเจ้าหน้าที่อเมริกันว่า กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ (เพนตากอน) เวลานี้เล็งโจมตีหนักด้วยจรวด จากนั้นก็ตามมาในทันทีด้วยการโจมตีเป้าหมายที่ยังพลาดไปหรือเป้าหมายที่ยังคงดำรงอยู่หลังการโจมตีระลอกแรก
เจ้าหน้าที่สองคนเปิดเผยกับแอลเอ ไทมส์ว่า ทำเนียบขาวขอเพิ่มเป้าหมายการโจมตี “เพิ่มขึ้นอีกมาก” จากบัญชีเดิมที่มีอยู่ในราว 50 จุด โดยความเคลื่อนไหวดังกล่าวนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการทำลายกองกำลังอาวุธที่กำลังอยู่ในสภาพกระจัดกระจายตัวของประธานาธิบดีอัสซาด
พวกนักวางแผนสงครามของเพนตากอน เวลานี้กำลังพิจารณาว่าจะใช้เครื่องบินทิ้งระเบิดของกองทัพอากาศ ร่วมกับพวกเรือพิฆาตติดขีปนาวุธ 5 ลำที่ขณะนี้ลาดตระเวนอยู่ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนด้านตะวันออก ระดมยิงทั้งจรวดร่อนและทั้งขีปนาวุธจากอากาศสู่พื้น จากพื้นที่ที่อยู่นอกรัศมีของระบบป้องกันทางอากาศของซีเรีย
ขณะเดียวกัน เรือบรรทุกเครื่องบินยูเอสเอส นิมิตซ์ พร้อมเรืออื่นๆ ในหมู่เรือเดียวกัน ซึ่งเป็นเรือลาดตระเวน 1 ลำ และเรือพิฆาตอีก 3 ลำ ก็สามารถยิงจรวดร่อนโจมตีซีเรียได้เช่นเดียวกัน จากตำแหน่งของพวกเขาในทะเลแดงขณะนี้
“การโจมตีจะประกอบด้วยการระดมยิงหลายๆ ชุด หลังจากยิงไปแต่ละชุดแล้วก็จะมีการประเมินผล แต่ทั้งหมดจะอยู่ภายในระยะเวลา 72 ชั่วโมง และมีสิ่งบ่งชี้อย่างชัดเจนเมื่อเราเสร็จสิ้นภารกิจแล้ว” เจ้าหน้าที่ผู้หนึ่งซึ่งคุ้นเคยกับแผนการคราวนี้บอกกับแอลเอไทมส์
การวางแผนทางการทหารเช่นนี้ มีขึ้นขณะที่ประธานาธิบดีโอบามา เตรียมโน้มน้าวประชาชนและสมาชิกรัฐสภาที่ยังคงลังเลในการให้ความสนับสนุนปฏิบัติการลงโทษอัสซาด จากกรณีฝ่ายตะวันตกกล่าวหาว่ารัฐบาลของเขาใช้อาวุธเคมีสังหารประชาชนของตัวเองเมื่อเดือนที่แล้ว ทั้งนี้ โอบามาบันทึกเทปและให้สัมภาษณ์สด ทางเครือข่ายทีวีสำคัญทั้ง 3 แห่ง อันได้แก่ เอ็นบีซี, เอบีซี และซีบีเอส ตลอดจนโทรทัศน์ช่องใหญ่ๆ อย่าง พีบีเอส, ซีเอ็นเอ็น และ ฟ็อกซ์นิวส์ ในวันจันทร์ (9) หรือ 1 วันก่อนที่วันที่คาดกันว่า วุฒิสภาเต็มคณะจะลงคะแนนร่างมติเกี่ยวกับปฏิบัติทางทหารต่อซีเรีย
แม้ทำเนียบขาวพยายามล็อบบีอย่างหนัก ทว่า ผลสำรวจจากหนังสือพิมพ์วอชิงตัน โพสต์จนถึงวันศุกร์ที่ผ่านมา (6) พบว่า สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ถึง 224 คนจาก 433 คน จะลงมติ “คัดค้าน” หรือ “มีแนวโน้มคัดค้าน” ปฏิบัติการทางทหาร โดยที่ 184 คนยังไม่ได้ตัดสินใจ และมีเพียง 25 คนสนับสนุน
ขณะเดียวกัน โพลจากรอยเตอร์/อิปโซส์เมื่อสัปดาห์ที่แล้วพบว่า ชาวอเมริกัน 56% ไม่เชื่อว่า อเมริกาควรแทรกแซงซีเรีย มีเพียง 19% ที่สนับสนุน
เช่นเดียวกัน ชาวฝรั่งเศส ซึ่งเป็นประเทศเดียวในสหภาพยุโรป (อียู) ที่ตัดสินใจเข้าร่วมปฏิบัติการลงโทษอัสซาดกับอเมริกานั้น ผลสำรวจชี้ว่า ผู้ตอบแบบสอบถามถึง 68% คัดค้านการโจมตี หรือเพิ่มขึ้นจากปลายเดือนที่แล้ว 9%
กระนั้น เมื่อวันเสาร์ (7) อเมริกาและฝรั่งเศสต่างอ้างว่า ได้รับการสนับสนุนจากนานาชาติเพิ่มขึ้น หลังจากอียูออกคำแถลงเรียกร้อง “การตอบโต้อย่างแข็งขัน” เพื่อลงโทษรัฐบาลซีเรียที่ใช้อาวุธเคมีโจมตีนอกกรุงดามัสกัสเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตนับร้อยนับพัน
เคร์รี รัฐมนตรีต่างประเทศของสหรัฐฯ กล่าวภายหลังหารือกับพวกรัฐมนตรีต่างประเทศของอียู ซึ่งประชุมกันที่ลิธัวเนียว่า จำนวนประเทศที่พร้อมเข้าร่วมปฏิบัติการทางทหารขณะนี้เพิ่มขึ้นในระดับเลขสองหลักและมากกว่าที่ต้องการ และตน “มีกำลังใจอย่างมาก” จาก “คำแถลงที่ชัดเจนและทรงพลัง” ของอียู
เคร์รีสำทับว่า โอบามายังไม่ได้ตัดสินใจว่า จะรอให้สหประชาชาติเปิดเผยรายงานการตรวจสอบการใช้อาวุธเคมีในซีเรียก่อนลงมือโจมตีหรือไม่
ขณะที่ ลอรองต์ ฟาเบียส รัฐมนตรีต่างประเทศของฝรั่งเศสที่ร่วมแถลงข่าวกับเคร์รี ผู้เดินทางต่อจากลิทัวเนียมาที่กรุงปารีส สำทับว่า ขณะนี้มี 7 ประเทศในกลุ่มจี 8 และ 12 ประเทศในกลุ่มจี 20 ที่เห็นพ้องในการตอบโต้อัสซาดอย่างรุนแรง
ด้านประธานาธิบดีฟรังซัวส์ ออลลองด์ ที่ก่อนหน้านี้ประกาศว่า ฝรั่งเศสจะรอผลการตรวจสอบของยูเอ็นนั้น เผยว่า รายงานดังกล่าวน่าจะออกมาสุดสัปดาห์หน้า พร้อมคาดว่า รัฐสภาอเมริกันมีแนวโน้มลงมติในวันพฤหัสฯ และศุกร์ (12-13)
อย่างไรก็ตาม สำหรับสมาชิกอื่นๆ ในอียูยังคงลังเลที่จะดำเนินการกับซีเรียโดยปราศจากความเห็นชอบของยูเอ็น โดยคำแถลงของที่ประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศระบุว่า การโจมตีด้วยอาวุธเคมีตามที่มีการกล่าวหาถือเป็น “อาชญากรรมสงครามและอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ” และมีหลักฐานชัดเจนว่า รัฐบาลซีเรียเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ ซึ่งนานาชาติไม่สามารถนิ่งเฉยอยู่ได้
คำแถลงของอียูเรียกร้องให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งยูเอ็นรับผิดชอบบทบาทของตน ซึ่งพาดพิงถึงรัสเซียและจีนที่ใช้สิทธิ์ยับยั้งมติลงโทษอัสซาดหลายต่อหลายครั้ง
ส่วนที่นครริยาด สภาความร่วมมือแห่งอ่าวเปอร์เซีย เรียกร้องให้นานาชาติแทรกแซงทันทีเพื่อช่วยเหลือชาวซีเรียจากการถูกกดขี่