เอเจนซีส์ - นายกรัฐมนตรี โยชิฮิโกะ โนดะ แห่งญี่ปุ่น เตือนเหตุประท้วงต่อต้านญี่ปุ่นในจีนซึ่งเกิดจากข้อพิพาทหมู่เกาะในทะเลจีนตะวันออก จะส่งผลให้เศรษฐกิจแดนมังกรอ่อนแอลง และทำให้นักลงทุนขาดความเชื่อมั่น หนังสือพิมพ์ วอลล์สตรีท เจอร์เนิล รายงานวานนี้(23)
“จีนควรจะใช้เม็ดเงินลงทุนต่างชาติที่หลั่งไหลเข้าไปเพื่อพัฒนาประเทศ... ผมหวังว่าพวกเขาจะใจเย็นลง และทำความเข้าใจด้วยเหตุผลว่า อะไรก็ตามที่จะเป็นอุปสรรคต่อสิ่งนั้นถือว่าอันตราย” โนดะ ให้สัมภาษณ์กับ วอลล์สตรีท
ความสัมพันธ์อันดีระหว่างโตเกียวกับปักกิ่งกลับกลายเป็นขมขื่น เนื่องจากทั้ง 2 ชาติต่างก็อ้างอธิปไตยเหนือหมู่เกาะในทะเลจีนตะวันออก ซึ่งญี่ปุ่นเรียกว่า เซ็งกากุ ขณะที่จีนเรียกในภาษาของตนว่า เตี้ยวอี๋ว์
การที่รัฐบาลญี่ปุ่นตัดสินใจซื้อหมู่เกาะดังกล่าวจากเอกชนที่ถือครองอยู่ เป็นเหตุให้ชาวจีนออกมาประท้วงต่อต้านอย่างรุนแรง
สำนักข่าวซินหวารายงานเมื่อวานนี้(23)ว่า จีนสั่งเลื่อนพิธีฉลองครบรอบ 40 ปีการสถาปนาสัมพันธ์ทางการทูตกับญี่ปุ่นออกไป สืบเนื่องจากข้อพิพาทดินแดนที่ยังร้อนระอุ และล่าสุดมีรายงานวันนี้(24)ว่า ยามฝั่งญี่ปุ่นพบเห็นเรือประมงจีน 2 ลำรุกล้ำเข้าไปในน่านน้ำของญี่ปุ่นใกล้หมู่เกาะเซ็งกากุ
โนดะ ซึ่งมีกำหนดกล่าวปราศรัยต่อที่ประชุมสมัชชาใหญ่องค์การสหประชาชาติในสัปดาห์นี้ เปิดเผยกับ วอลล์สตรีท เกี่ยวกับรายงานที่ว่าบริษัทญี่ปุ่นในจีนถูกคุกคามทางเศรษฐกิจ โดยบอกว่า “การออกวีซาและขั้นตอนทางศุลกากรที่ล่าช้าคือสิ่งที่เรากังวล”
ผู้นำญี่ปุ่นเตือนว่า ปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับญี่ปุ่นจะส่งผลกระทบถึงเศรษฐกิจโลกโดยรวม
โนดะ ยังเอ่ยถึงข้อบาดหมางระหว่างโตเกียวกับโซลในเรื่องสตรีเกาหลีที่ถูกทหารจักรวรรดิญี่ปุ่นใช้เป็นทาสบำเรอกาม โดยเมื่อ วอลล์สตรีท สอบถามว่า ญี่ปุ่นจะพิจารณาจ่ายค่าชดเชยเพิ่มเติมแก่ทางเกาหลีใต้หรือไม่ ก็ได้รับคำตอบจาก โนดะ ว่า “เรื่องนั้นจบไปนานแล้ว”