เอเจนซีส์ - ผู้นำธุรกิจบริหารความเสี่ยงของค่ายเจพีมอร์แกน เชส ลาออกแล้ว หลังการขาดทุนที่อาจมีมูลค่าเกิน 3,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่ง “โอบามา” ระบุว่า เป็นหลักฐานตอกย้ำความสำคัญในการปฏิรูปวอลล์สตรีท ขณะที่เฟดจับมือเอสอีซีตรวจสอบว่าธุรกิจอื่นๆ ในเครือแบงก์ยักษ์แห่งนี้มีพฤติกรรมเสี่ยงที่อาจสร้างปัญหาหรือไม่
หลังจากมีผลงานนำโด่งคู่แข่งมาตั้งแต่ปีที่แล้ว มาขณะนี้ราคาหุ้นที่ร่วงลง 12.2% นับจากการเปิดเผยข่าวการขาดทุนเมื่อวันพฤหัสบดี (10) ฉุดให้สถานะของเจพีมอร์แกน เชส ธนาคารใหญ่สุดในสหรัฐฯเมื่อดูจากยอดสินทรัพย์ ตกต่ำลงไป รวมทั้งเพิ่มความกดดันต่อ เจมี ไดมอน ผู้เป็นซีอีโอ ในการหาคำอธิบายที่ชัดเจนสำหรับสิ่งที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการประชุมผู้ถือหุ้นประจำปีซึ่งกำหนดจัดขึ้นในฟลอริดาวันอังคาร (15)
แต่ก่อนหน้านั้นหนึ่งวัน ไดมอนแถลงยืนยันว่า แบงก์มีความเข้มแข็งด้านเงินทุนและงบดุลพร้อมรองรับความตกต่ำแบบที่เผชิญอยู่ และเจพีมอร์แกนจะเรียนรู้จากความผิดพลาด
คำแถลงในเรื่องนี้ของเขา ออกมาพร้อมการประกาศการลาออกของ อินา ดรูว์ ประธานสำนักการลงทุน ชีฟ อินเวสต์เมนต์ ออฟฟิศ (ซีไอโอ) ผู้รับผิดชอบการซื้อขายตราสารอนุพันธ์ที่เป็นต้นเหตุการขาดทุนล่าสุดนับพันล้านดอลลาร์ หลังทำงานกับเจพี มอร์แกนมาถึง 30 ปี
“ดรูว์เป็นหุ้นส่วนสำคัญตลอดหลายปีที่ผ่านมาที่อยู่กับบริษัทเรา แม้การขาดทุนล่าสุดในซีไอโอ แต่การอุทิศตนอย่างมากมายของดรูส์ไม่ควรถูกลบล้างด้วยเหตุการณ์เหล่านี้” ไดมอน ที่เคยเป็นตัวเก็งรัฐมนตรีคลังในคณะรัฐบาลโอบามา 2 กล่าว
ผู้ที่จะมาแทนดรูว์ คือ แมตต์ เซมิส เทรดเดอร์ที่เชี่ยวชาญด้านความเสี่ยงทางการเงิน รวมทั้งเคยถูกคาดการณ์ว่า อาจเป็นผู้สืบทอดของไดมอนในอนาคต
อย่างไรก็ดี คำแถลงนี้ไม่ได้กล่าวถึงผู้ใต้บังคับบัญชา 2 คนของดรูว์ที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรมที่ขาดทุนและก่อนหน้านี้มีข่าวว่าจะลาออกคือ อาคิลิส มาคริส และฌาเวียร์ มาร์ติน-อาร์เทโจ
ทั้งนี้ ค่ำวันพฤหัสบดีที่แล้ว ไดมอนเผยว่า ซีไอโอมียอดขาดทุนอย่างน้อย 2,000 ล้านดอลลาร์ในช่วง 6 สัปดาห์ที่ผ่านมาจากการซื้อขายทรัพย์สินของแบงก์ในตลาดตราสารอนุพันธ์อันซับซ้อน
กลไกการซื้อขายซึ่งเดิมมีเป้าหมายมุ่งหลีกเลี่ยงความเสี่ยงนี้ กลับดูเหมือนกลายเป็นเดิมพันก้อนใหญ่ที่ถูกใช้ซับซ้อนและก้าวร้าวในทิศทางเศรษฐกิจที่ผิดพลาดอย่างแรง
ข่าวการขาดทุนที่ทำให้มูลค่าหุ้นของเจพีมอร์แกนหายวับไปเกือบ 19,000 ล้านดอลลาร์ภายในเวลาเพียง 2 วัน กำลังกระตุ้นการถกเถียงเกี่ยวกับกฎระเบียบทางการเงิน
“เจพีมอร์แกนเป็นหนึ่งในแบงก์ที่มีการบริหารจัดการดีที่สุด ขณะที่เจมี ไดมอน เป็นหนึ่งในนายธนาคารที่ฉลาดที่สุดที่เรามี แต่พวกเขายังขาดทุนอย่างน้อย 2,000 ล้านดอลลาร์” ประธานาธิบดีบารัค โอบามา กล่าวผ่านรายการเดอะ วิวของสถานีเอบีซี และสำทับว่า นี่คือเหตุผลว่า เหตุใดการปฏิรูปวอลล์สตรีทจึงเป็นสิ่งสำคัญ
เจย์ คาร์นีย์ โฆษกของโอบามาสำทับว่า การขาดทุนของเจพีมอร์แกนเป็นหลักฐานตอกย้ำความจำเป็นในการเพิ่มความเข้มงวดในการควบคุมพวกธนาคารยักษ์ใหญ่ที่ถูกมองว่า “ใหญ่เกินล้ม” ในเชิงระบบ
ขณะเดียวกัน คณะกรรมาธิการการธนาคารของวุฒิสภาเผยว่าจะเปิดการไต่สวนประเด็นการปฏิรูปวอลล์สตรีทในอีกไม่กี่สัปดาห์นี้ ซึ่งคาดว่าจะมีการกดดันผู้คุมกฎให้ดำเนินการเกี่ยวกับการขาดทุนของเจพีมอร์แกน
ด้านธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ระบุว่า กำลังร่วมกับคณะกรรมการกำกับดูแลหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (เอสอีซี) ตรวจสอบว่า เจพีมอร์แกนมีปัญหาความเสี่ยงในธุรกิจในเครืออื่นๆ หรือไม่ๆ
นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่า บริษัทกฎหมายซึ่งเป็นตัวแทนของผู้ถือหุ้นสำคัญได้ยื่นฟ้องเจพีมอร์แกนและเจ้าหน้าที่ธนาคารหลายคนเรื่องการขาดทุนล่าสุดและผลพวงที่เกิดกับราคาหุ้นของแบงก์