เอเอฟพี - ประธานาธิบดี บารัค โอบามา แห่งสหรัฐฯ กล่าววานนี้ (14) ว่า การที่เจพี มอร์แกน ซึ่งเป็นธนาคารใหญ่ที่มีระบบบริหารดีที่สุดแห่งหนึ่งในสหรัฐฯ ประสบภาวะขาดทุนจากการขายตราสารอนุพันธ์ถึง 2,000 ล้านดอลลาร์ แสดงถึงความจำเป็นที่จะต้องปฏิรูปกฎระเบียบด้านการธนาคารให้เข้มงวดยิ่งขึ้น
โอบามาให้สัมภาษณ์ต่อรายการ “เดอะวิว” ทางสถานีโทรทัศน์เอบีซี ซึ่งจะออกอากาศในวันนี้(15) ว่า เจมี ไดมอน ประธานเจพี มอร์แกน เป็น “นายธนาคารผู้ชาญฉลาดที่สุดคนหนึ่งของสหรัฐฯ แต่ก็ยังผิดพลาดจนสูญเสียรายได้ไปมหาศาล”
“พวกเขาขาดทุนถึง 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐก็เพราะเข้าไปเสี่ยงกับตลาดอนุพันธ์... ด้วยเหตุนี้ เราจึงออกกฎเกณฑ์เพื่อปฏิรูปวอลล์สตรีทเสียใหม่”
“ประเด็นสำคัญก็คือ ต่อให้คุณเฉลียวฉลาดแค่ไหนก็ยังพลาดได้ และในเมื่อธนาคารเหล่านี้มีเงินภาษีประชาชนเป็นประกันอยู่ เราจึงไม่อยากให้พวกคุณทำอะไรสุ่มเสี่ยง จนรัฐต้องเข้าไปอุ้มให้พ้นจากการล้มละลายอีก”
โอบามาอธิบายว่า กฎหมายปฏิรูปวอลล์สตรีทที่บังคับใช้ในปัจจุบันนั้น กำหนดให้เพิ่มทุนสำรองของธนาคารเพื่อให้ธนาคารสามารถรองรับผลขาดทุนได้มากขึ้น ทั้งยังมีข้อจำกัดว่าด้วยการซื้อขายหลักทรัพย์บริษัท (proprietary trading) อีกด้วย
“อย่าลืมว่า หากกฎเกณฑ์ทั้งหมดที่เราเสนอและผ่านความเห็นชอบจากสภาคองเกรส ถูกประกาศเป็นกฎหมาย มันจะช่วยป้องกันมิให้ความสูญเสียเช่นนี้เกิดขึ้นอีก”
โอบามายังนำกรณีของเจพี มอร์แกน มาชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างแนวทางของเขากับ มิตต์ รอมนีย์ ตัวเต็งผู้สมัครประธานาธิบดีจากรีพับลิกัน โดยกล่าวว่า มหาเศรษฐี นักลงทุน และอดีตผู้ว่าการรัฐแมสซาชูเซตส์มักโจมตีว่าเขาออกกฎระเบียบด้านการธนาคารเข้มงวดเกินไป จนการปล่อยกู้ทำได้ยาก
“เราสองคนเห็นต่างกันมากในเรื่องนี้” โอบามาระบุ
วันพฤหัสบดีที่แล้ว (10) เจพี มอร์แกนออกมายอมรับว่า สำนักงานกำกับการลงทุน (ซีไอโอ) ของธนาคารสูญเสียมูลค่าตลาดไปอย่างน้อย 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐภายในเวลา 6 สัปดาห์ จากการจำหน่ายทรัพย์สินของบริษัทในตลาดอนุพันธ์
