(เก็บความจากเอเชียไทมส์ออนไลน์www.atimes.com)
Climate protectionism on the rise
By Martin Khor
09/10/2009
ลัทธิกีดกันการค้าและกีดกันเทคโนโลยีโดยสหรัฐอเมริกาและประเทศอุตสาหกรรมอื่นๆ นับวันแต่จะทวีตัว ในเวลาเดียวกัน ประเทศเหล่านี้ยังตั้งท่าเงื้อง่าจะนำประเด็นภัยคุกคามต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ มาเป็นส่วนหนึ่งในการเจรจากับประเทศกำลังพัฒนาในเรื่องของการต่อสู้กับภัยคุกคามต่ออนาคตของโลก
ลัทธิกีดกันการค้าและกีดกันเทคโนโลยีรูปแบบใหม่และอันตราย กำลังปรากฏขึ้นมาให้เห็นอย่างรวดเร็ว ภายใต้หน้ากากของการมุ่งต่อสู้กับปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ นอกจากนั้น มันยังส่งผลเป็นการวางยาพิษเข้าไปในสายสัมพันธ์เหนือ-ใต้ภายในการเจรจาสองเวทีคือ การเจรจาด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการเจรจาด้านการค้า
ที่ผ่านมา ได้ปรากฏสัญญาณชัดเจนว่าประเทศพัฒนาแล้วบางราย โดยเฉพาะสหรัฐฯ เตรียมใช้มาตรการการค้าฝ่ายเดียว อาทิ การเรียกเก็บภาษีศุลกากรและภาษีประเภทต่างๆ หรือการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมต่างๆ เอากับสินค้าจากประเทศกำลังพัฒนา โดยอ้างว่าเป็นไปเพื่อต่อสู้แก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
เมื่อเร็วๆ นี้ สภาผู้แทนราษฎรของสหรัฐฯ ได้ผ่านร่างพรบ.ที่ให้อำนาจแก่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในอันที่จะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมต่างๆ ตลอดจนภาษีประเภทต่างๆ จากสินค้านำเข้าจากประเทศกำลังพัฒนา ที่สหรัฐฯเห็นว่า ยังไม่ดำเนินการอย่างเพียงพอในอันที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
นอกจากนั้น สภาผู้แทนฯ สหรัฐฯ ยังพยายามใช้ลัทธิกีดกันการค้ามาต่อต้านไม่ให้มีการถ่ายโอนเทคโนโลยี โดยผ่านร่างพรบ. 3 ฉบับที่ทางสภาแห่งนี้ได้รับรองไปแล้ว ทั้งนี้หากร่างเหล่านี้กลายเป็นกฎหมายที่มีผลบังคับใช้ ก็จะส่งผลให้ผู้แทนการเจรจาของสหรัฐฯ ที่ไปเจรจาหารือในกรอบของอนุสัญญาแม่บทสหประชาชาติ ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UN Framework Convention on Climate Change หรือ UNFCCC) ไม่สามารถทำข้อตกลงใดๆ ในทางที่จะผ่อนปรนกฎระเบียบหรือการบังคับใช้กฎหมายอันเกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญา และขณะนี้มีสัญญาณชี้แล้วว่า ประเทศพัฒนาอื่นๆ รวมทั้งพวกทางยุโรป ก็เตรียมการที่จะใช้ลัทธิกีดกันการค้าที่อิงไปกับประเด็นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเช่นเดียวกัน
ด้านประเทศกำลังพัฒนาต่างเริ่มแสดงการคัดค้านความเคลื่อนไหวดังกล่าว ทั้งนี้ ในระหว่างที่รมว.ต่างประเทศสหรัฐฯ คือนางฮิลลารี คลินตัน เยือนอินเดียเมื่อเร็วๆ นี้นั้น บรรดาผู้นำทางการเมืองของอินเดียออกโรงประท้วงสหรัฐฯ ในกรณีการขู่จะใช้มาตรการเรียกเก็บภาษีศุลกากรจากประเทศที่ไม่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (carbon tarrifs) ด้านกระทรวงพาณิชย์จีนก็ออกมาวิจารณ์ประเด็นการกีดกันการค้าที่แฝงอยู่ในร่างพรบ.ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของสหรัฐฯด้วย
ที่สำคัญที่สุดคือ ประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลายผนึกกำลังกันหยิบยกประเด็นนี้ขึ้นมาหารือในระหว่างการเจรจาว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศครั้งต่างๆ ก่อนที่จะถึงการประชุมที่จะเป็นบทสรุป ณ กรุงโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก ในเดือนธันวาคมปีนี้ กล่าวคือ ในวันที่ 13 สิงหาคม ที่ผ่านมา กลุ่ม 77 และจีน (Group of 77 countries and China) ออกคำแถลงที่เวทีการเจรจาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ณ เมืองบอนน์ ประเทศเยอรมนี โดยเตือนไม่ให้ประเทศพัฒนาแล้ว หันไปใช้มาตรการจำกัดการค้าแบบที่เป็นการประกาศใช้ฝ่ายเดียว เพราะมันจะเป็นการละเมิดบทบัญญัติต่างๆ ในอนุสัญญาแม่บทว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
อินเดียยังได้เสนอด้วยว่า การประชุมที่กรุงโคเปนเฮเกน (ในระหว่างวันที่ 7-18 ธันวาคม ซึ่งคาดหมายกันว่านานาชาติจะสามารถทำข้อตกลงว่าด้วยการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกฉบับใหม่ เพื่อใช้ต่อจากพิธีสารเกียวโตที่จะหมดอายุลงในปี 2012 -ผู้แปล) ควรต้องมีการเขียนในข้อตกลง ด้วยข้อความที่ชัดเจนไปเลยว่า ประเทศพัฒนาแล้ว “จะไม่ใช้มาตรการฝ่ายเดียวไม่ว่าจะในรูปแบบใดๆ ซึ่งรวมถึงมาตรการในลักษณะการเรียกเก็บภาษีตอบโต้การอุดหนุน เพื่อเล่นงานสินค้าและบริการที่นำเข้าจากประเทศกำลังพัฒนา โดยอิงเหตุผลในเรื่องการพิทักษ์ปกป้องสภาพภูมิอากาศ และการสร้างเสถียรภาพด้านสภาพภูมิอากาศ”
ในการนี้ อินเดียอ้างถึงบทบัญญัติต่างๆ ในอนุสัญญาแม่บทฯ มากมายหลายข้อที่จะเข้าข่ายว่าถูกละเมิดถ้ามีการนำมาตรการดังกล่าวมาใช้ ความพยายามของอินเดียได้รับการขานรับจากนานาประเทศ ไม่ว่าจะเป็นจีน อาร์เจนตินา บราซิล สิงคโปร์ แอฟริกาใต้ ซาอุดีอาระเบีย และรวมทั้ง กลุ่ม 77 และจีน ก็ออกคำแถลงในเรื่องนี้ด้วย
ทางด้านการเจรจา (เพื่อจัดทำข้อตกลงการค้าโลกรอบโดฮาภายใต้กรอบขององค์การการค้าโลก -ผู้แปล) ที่นครเจนีวา เหล่านักการทูตของประเทศกำลังพัฒนาจำนวนมาก ก็แสดงความวิตกต่อเรื่องนี้มากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยมองเห็นความเป็นไปได้ที่สหรัฐฯ และประเทศพัฒนาแล้วทั้งหลาย จะใช้มาตรการข้ออ้างเรื่องสภาพภูมิอากาศ มาเล่นงานขึ้นภาษีศุลกากร ตลอดจนการเรียกเก็บเงินค่าธรรมเนียมต่างๆ เอากับสินค้านำเข้าจากประเทศกำลังพัฒนา ถึงแม้ การกระทำเช่นนี้จะเข้าข่ายเป็นการใช้ข้อพิจารณาในประเด็นว่าด้วยกระบวนการและวิธีผลิตสินค้าเหล่านั้น ( Process and production method หรือ PPM) ซึ่งยังเป็นประเด็นที่เกิดการถกเถียงขัดแย้งกันอย่างรุนแรงอย่างยากจะหาข้อยุติ
ทั้งนี้การเรียกเก็บภาษีศุลกากรเพิ่มเพิเศษ ตลอดจนการเก็บเงินค่าธรรมเนียมต่างๆ เอากับสินค้านำเข้า โดยใช้ประเด็นพีพีเอ็ม ถูกประเทศกำลังพัฒนาต่อต้านว่าเป็นรูปแบบแอบแฝงของลัทธิกีดกันการค้า มาตั้งแต่เมื่อคราวประชุมองค์การการค้าโลก (ดับเบิลยูทีโอ) ปี 1996 โดยที่ว่าประเทศกำลังพัฒนาชี้ไว้ว่ามาตรการเช่นนั้นนับว่าไม่เป็นธรรม เพราะจะส่งผลเป็นการกีดกันสินค้าของประเทศกำลังพัฒนาไม่ให้สามารถเข้าสู่ตลาดของประเทศพัฒนาแล้ว ดังนั้น มันจึงเป็นเรื่องที่ขัดต่อกฎของดับเบิลยูทีโอ
อย่างไรก็ตาม มีพวกประเทศพัฒนาแล้วจำนวนมากทีเดียวที่อยากนำมาตรการทางการค้าไปใช้กับเงื่อนไขด้านสิ่งแวดล้อม และจึงมีการเตรียมชงเรื่องที่จะเอื้อให้มาตรการด้านการค้าที่ผูกอยู่กับพีพีเอ็ม กลายเป็นกฎระเบียบขึ้นมา หรือไม่อย่างนั้น ก็อาจจะผลักดันให้มาตรการการค้าที่โยงอยู่กับเรื่องสภาพภูมิอากาศ ได้รับอนุมัติในกรอบ “ข้อยกเว้นทั่วไปเพื่อสิ่งแวดล้อม” (general exception for the environment) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในกรอบใหญ่ของข้อตกลงทั่วไปว่าด้วยอัตราภาษีศุลกากรและการค้า (General Agreement on Tariffs and Trade หรือ GATT)
ด้านประเทศกำลังพัฒนาอ้างว่า การโยงมาตรการการค้าไปผูกกับเรื่องภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม นับว่าไม่เป็นธรรม เพราะพวกตนมีความสามารถเชิงเทคโนโลยีต่ำกว่าพวกประเทศพัฒนาแล้ว ซึ่งพวกตนย่อมไม่สามารถปฏิบัติตามมาตรฐานของประเทศพัฒนาแล้วได้ไหว และดังนั้น ประเทศกำลังพัฒนาจึงควรได้รับความช่วยเหลือผ่านการถ่ายโอนเทคโนโลยี ทว่า ระบอบแห่งสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา (โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เงื่อนไขตามข้อตกลงว่าด้วยสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาของดับเบิลยูทีโอ ที่เรียกกันว่าข้อตกลง TRIPS) คืออุปสรรคขัดขวางเรื่องนี้อยู่ ยิ่งกว่านั้น ขณะนี้ รัฐสภาของสหรัฐฯ ก็มาแสดงท่าทีว่าจะประกาศห้ามไม่ให้รัฐบาลอเมริกามีสิทธิอนุมัติให้มีการผ่อนปรนในเรื่องกฎว่าด้วยทรัพย์สินทางปัญญา
ถ้าประเด็นการปกป้องสภาพภูมิอากาศได้รับการอนุมัติ มันจะเป็นการเปิดทางให้สารพันมาตรการเพื่อกีดกันการค้า หลั่งไหลกันเข้ามากางกั้นไม่ให้สินค้าจากประเทศกำลังพัฒนาสามารถเข้าสู่ตลาดของประเทศพัฒนาแล้วด้วยข้อพิจารณาว่าด้วยกระบวนการและวิธีผลิตสินค้า
ลัทธิกีดกันการค้าตัวใหม่ที่ฉกาจฉกรรจ์ระดับมาตรการตัวแม่อย่างนี้ ก็ช่างเลือกเวลาแจ้งเกิดโดยแท้ เพราะจะมาเล่นกันในยามยุคเศรษฐกิจถดถอย อันเป็นช่วงเวลาที่เหล่าผู้นำชาติทั้งหลายประกาศกันขึงขังว่า จะไม่ยอมหันไปใช้มาตรการกีดกันการค้าอย่างแน่นอน ดังนั้น ประเด็นการค้า-การปกป้องภูมิอากาศช่างเป็นระเบิดเวลาอันร้ายกาจ และมันจะกลายเป็นชนวนเปิด “กล่องแพนดอรา” (Pandora’s box) ที่ฝ่ายต่างๆ เคยนำปัญหาโลกแตกไปซุกไว้เพื่อซื้อเวลา โดยเมื่อมันถูกเปิดขึ้นมา มันจะไปสร้างราคีแปดเปื้อนให้แก่การเจรจาต่างๆ ตามกรอบ อนุสัญญาแม่บทของสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ตลอดจนการเจรจาดับเบิลยูทีโอด้วย
มาร์ติน คอร์ เป็นกรรมการบริหารของศูนย์ South Centre อีเมล์ติดต่อเขาคือ director@southcentre.org ประเด็นปัญหาลัทธิกีดกันการค้าด้วยข้ออ้างเรื่องสภาพภูมิอากาศ ที่นำมาเสนอในข้อเขียนนี้ สามารถอ่านเพิ่มเติมได้จากฉบับพิเศษของจดหมายข่าว South Centre bulletin
Climate protectionism on the rise
By Martin Khor
09/10/2009
ลัทธิกีดกันการค้าและกีดกันเทคโนโลยีโดยสหรัฐอเมริกาและประเทศอุตสาหกรรมอื่นๆ นับวันแต่จะทวีตัว ในเวลาเดียวกัน ประเทศเหล่านี้ยังตั้งท่าเงื้อง่าจะนำประเด็นภัยคุกคามต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ มาเป็นส่วนหนึ่งในการเจรจากับประเทศกำลังพัฒนาในเรื่องของการต่อสู้กับภัยคุกคามต่ออนาคตของโลก
ลัทธิกีดกันการค้าและกีดกันเทคโนโลยีรูปแบบใหม่และอันตราย กำลังปรากฏขึ้นมาให้เห็นอย่างรวดเร็ว ภายใต้หน้ากากของการมุ่งต่อสู้กับปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ นอกจากนั้น มันยังส่งผลเป็นการวางยาพิษเข้าไปในสายสัมพันธ์เหนือ-ใต้ภายในการเจรจาสองเวทีคือ การเจรจาด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการเจรจาด้านการค้า
ที่ผ่านมา ได้ปรากฏสัญญาณชัดเจนว่าประเทศพัฒนาแล้วบางราย โดยเฉพาะสหรัฐฯ เตรียมใช้มาตรการการค้าฝ่ายเดียว อาทิ การเรียกเก็บภาษีศุลกากรและภาษีประเภทต่างๆ หรือการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมต่างๆ เอากับสินค้าจากประเทศกำลังพัฒนา โดยอ้างว่าเป็นไปเพื่อต่อสู้แก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
เมื่อเร็วๆ นี้ สภาผู้แทนราษฎรของสหรัฐฯ ได้ผ่านร่างพรบ.ที่ให้อำนาจแก่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในอันที่จะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมต่างๆ ตลอดจนภาษีประเภทต่างๆ จากสินค้านำเข้าจากประเทศกำลังพัฒนา ที่สหรัฐฯเห็นว่า ยังไม่ดำเนินการอย่างเพียงพอในอันที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
นอกจากนั้น สภาผู้แทนฯ สหรัฐฯ ยังพยายามใช้ลัทธิกีดกันการค้ามาต่อต้านไม่ให้มีการถ่ายโอนเทคโนโลยี โดยผ่านร่างพรบ. 3 ฉบับที่ทางสภาแห่งนี้ได้รับรองไปแล้ว ทั้งนี้หากร่างเหล่านี้กลายเป็นกฎหมายที่มีผลบังคับใช้ ก็จะส่งผลให้ผู้แทนการเจรจาของสหรัฐฯ ที่ไปเจรจาหารือในกรอบของอนุสัญญาแม่บทสหประชาชาติ ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UN Framework Convention on Climate Change หรือ UNFCCC) ไม่สามารถทำข้อตกลงใดๆ ในทางที่จะผ่อนปรนกฎระเบียบหรือการบังคับใช้กฎหมายอันเกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญา และขณะนี้มีสัญญาณชี้แล้วว่า ประเทศพัฒนาอื่นๆ รวมทั้งพวกทางยุโรป ก็เตรียมการที่จะใช้ลัทธิกีดกันการค้าที่อิงไปกับประเด็นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเช่นเดียวกัน
ด้านประเทศกำลังพัฒนาต่างเริ่มแสดงการคัดค้านความเคลื่อนไหวดังกล่าว ทั้งนี้ ในระหว่างที่รมว.ต่างประเทศสหรัฐฯ คือนางฮิลลารี คลินตัน เยือนอินเดียเมื่อเร็วๆ นี้นั้น บรรดาผู้นำทางการเมืองของอินเดียออกโรงประท้วงสหรัฐฯ ในกรณีการขู่จะใช้มาตรการเรียกเก็บภาษีศุลกากรจากประเทศที่ไม่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (carbon tarrifs) ด้านกระทรวงพาณิชย์จีนก็ออกมาวิจารณ์ประเด็นการกีดกันการค้าที่แฝงอยู่ในร่างพรบ.ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของสหรัฐฯด้วย
ที่สำคัญที่สุดคือ ประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลายผนึกกำลังกันหยิบยกประเด็นนี้ขึ้นมาหารือในระหว่างการเจรจาว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศครั้งต่างๆ ก่อนที่จะถึงการประชุมที่จะเป็นบทสรุป ณ กรุงโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก ในเดือนธันวาคมปีนี้ กล่าวคือ ในวันที่ 13 สิงหาคม ที่ผ่านมา กลุ่ม 77 และจีน (Group of 77 countries and China) ออกคำแถลงที่เวทีการเจรจาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ณ เมืองบอนน์ ประเทศเยอรมนี โดยเตือนไม่ให้ประเทศพัฒนาแล้ว หันไปใช้มาตรการจำกัดการค้าแบบที่เป็นการประกาศใช้ฝ่ายเดียว เพราะมันจะเป็นการละเมิดบทบัญญัติต่างๆ ในอนุสัญญาแม่บทว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
อินเดียยังได้เสนอด้วยว่า การประชุมที่กรุงโคเปนเฮเกน (ในระหว่างวันที่ 7-18 ธันวาคม ซึ่งคาดหมายกันว่านานาชาติจะสามารถทำข้อตกลงว่าด้วยการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกฉบับใหม่ เพื่อใช้ต่อจากพิธีสารเกียวโตที่จะหมดอายุลงในปี 2012 -ผู้แปล) ควรต้องมีการเขียนในข้อตกลง ด้วยข้อความที่ชัดเจนไปเลยว่า ประเทศพัฒนาแล้ว “จะไม่ใช้มาตรการฝ่ายเดียวไม่ว่าจะในรูปแบบใดๆ ซึ่งรวมถึงมาตรการในลักษณะการเรียกเก็บภาษีตอบโต้การอุดหนุน เพื่อเล่นงานสินค้าและบริการที่นำเข้าจากประเทศกำลังพัฒนา โดยอิงเหตุผลในเรื่องการพิทักษ์ปกป้องสภาพภูมิอากาศ และการสร้างเสถียรภาพด้านสภาพภูมิอากาศ”
ในการนี้ อินเดียอ้างถึงบทบัญญัติต่างๆ ในอนุสัญญาแม่บทฯ มากมายหลายข้อที่จะเข้าข่ายว่าถูกละเมิดถ้ามีการนำมาตรการดังกล่าวมาใช้ ความพยายามของอินเดียได้รับการขานรับจากนานาประเทศ ไม่ว่าจะเป็นจีน อาร์เจนตินา บราซิล สิงคโปร์ แอฟริกาใต้ ซาอุดีอาระเบีย และรวมทั้ง กลุ่ม 77 และจีน ก็ออกคำแถลงในเรื่องนี้ด้วย
ทางด้านการเจรจา (เพื่อจัดทำข้อตกลงการค้าโลกรอบโดฮาภายใต้กรอบขององค์การการค้าโลก -ผู้แปล) ที่นครเจนีวา เหล่านักการทูตของประเทศกำลังพัฒนาจำนวนมาก ก็แสดงความวิตกต่อเรื่องนี้มากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยมองเห็นความเป็นไปได้ที่สหรัฐฯ และประเทศพัฒนาแล้วทั้งหลาย จะใช้มาตรการข้ออ้างเรื่องสภาพภูมิอากาศ มาเล่นงานขึ้นภาษีศุลกากร ตลอดจนการเรียกเก็บเงินค่าธรรมเนียมต่างๆ เอากับสินค้านำเข้าจากประเทศกำลังพัฒนา ถึงแม้ การกระทำเช่นนี้จะเข้าข่ายเป็นการใช้ข้อพิจารณาในประเด็นว่าด้วยกระบวนการและวิธีผลิตสินค้าเหล่านั้น ( Process and production method หรือ PPM) ซึ่งยังเป็นประเด็นที่เกิดการถกเถียงขัดแย้งกันอย่างรุนแรงอย่างยากจะหาข้อยุติ
ทั้งนี้การเรียกเก็บภาษีศุลกากรเพิ่มเพิเศษ ตลอดจนการเก็บเงินค่าธรรมเนียมต่างๆ เอากับสินค้านำเข้า โดยใช้ประเด็นพีพีเอ็ม ถูกประเทศกำลังพัฒนาต่อต้านว่าเป็นรูปแบบแอบแฝงของลัทธิกีดกันการค้า มาตั้งแต่เมื่อคราวประชุมองค์การการค้าโลก (ดับเบิลยูทีโอ) ปี 1996 โดยที่ว่าประเทศกำลังพัฒนาชี้ไว้ว่ามาตรการเช่นนั้นนับว่าไม่เป็นธรรม เพราะจะส่งผลเป็นการกีดกันสินค้าของประเทศกำลังพัฒนาไม่ให้สามารถเข้าสู่ตลาดของประเทศพัฒนาแล้ว ดังนั้น มันจึงเป็นเรื่องที่ขัดต่อกฎของดับเบิลยูทีโอ
อย่างไรก็ตาม มีพวกประเทศพัฒนาแล้วจำนวนมากทีเดียวที่อยากนำมาตรการทางการค้าไปใช้กับเงื่อนไขด้านสิ่งแวดล้อม และจึงมีการเตรียมชงเรื่องที่จะเอื้อให้มาตรการด้านการค้าที่ผูกอยู่กับพีพีเอ็ม กลายเป็นกฎระเบียบขึ้นมา หรือไม่อย่างนั้น ก็อาจจะผลักดันให้มาตรการการค้าที่โยงอยู่กับเรื่องสภาพภูมิอากาศ ได้รับอนุมัติในกรอบ “ข้อยกเว้นทั่วไปเพื่อสิ่งแวดล้อม” (general exception for the environment) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในกรอบใหญ่ของข้อตกลงทั่วไปว่าด้วยอัตราภาษีศุลกากรและการค้า (General Agreement on Tariffs and Trade หรือ GATT)
ด้านประเทศกำลังพัฒนาอ้างว่า การโยงมาตรการการค้าไปผูกกับเรื่องภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม นับว่าไม่เป็นธรรม เพราะพวกตนมีความสามารถเชิงเทคโนโลยีต่ำกว่าพวกประเทศพัฒนาแล้ว ซึ่งพวกตนย่อมไม่สามารถปฏิบัติตามมาตรฐานของประเทศพัฒนาแล้วได้ไหว และดังนั้น ประเทศกำลังพัฒนาจึงควรได้รับความช่วยเหลือผ่านการถ่ายโอนเทคโนโลยี ทว่า ระบอบแห่งสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา (โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เงื่อนไขตามข้อตกลงว่าด้วยสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาของดับเบิลยูทีโอ ที่เรียกกันว่าข้อตกลง TRIPS) คืออุปสรรคขัดขวางเรื่องนี้อยู่ ยิ่งกว่านั้น ขณะนี้ รัฐสภาของสหรัฐฯ ก็มาแสดงท่าทีว่าจะประกาศห้ามไม่ให้รัฐบาลอเมริกามีสิทธิอนุมัติให้มีการผ่อนปรนในเรื่องกฎว่าด้วยทรัพย์สินทางปัญญา
ถ้าประเด็นการปกป้องสภาพภูมิอากาศได้รับการอนุมัติ มันจะเป็นการเปิดทางให้สารพันมาตรการเพื่อกีดกันการค้า หลั่งไหลกันเข้ามากางกั้นไม่ให้สินค้าจากประเทศกำลังพัฒนาสามารถเข้าสู่ตลาดของประเทศพัฒนาแล้วด้วยข้อพิจารณาว่าด้วยกระบวนการและวิธีผลิตสินค้า
ลัทธิกีดกันการค้าตัวใหม่ที่ฉกาจฉกรรจ์ระดับมาตรการตัวแม่อย่างนี้ ก็ช่างเลือกเวลาแจ้งเกิดโดยแท้ เพราะจะมาเล่นกันในยามยุคเศรษฐกิจถดถอย อันเป็นช่วงเวลาที่เหล่าผู้นำชาติทั้งหลายประกาศกันขึงขังว่า จะไม่ยอมหันไปใช้มาตรการกีดกันการค้าอย่างแน่นอน ดังนั้น ประเด็นการค้า-การปกป้องภูมิอากาศช่างเป็นระเบิดเวลาอันร้ายกาจ และมันจะกลายเป็นชนวนเปิด “กล่องแพนดอรา” (Pandora’s box) ที่ฝ่ายต่างๆ เคยนำปัญหาโลกแตกไปซุกไว้เพื่อซื้อเวลา โดยเมื่อมันถูกเปิดขึ้นมา มันจะไปสร้างราคีแปดเปื้อนให้แก่การเจรจาต่างๆ ตามกรอบ อนุสัญญาแม่บทของสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ตลอดจนการเจรจาดับเบิลยูทีโอด้วย
มาร์ติน คอร์ เป็นกรรมการบริหารของศูนย์ South Centre อีเมล์ติดต่อเขาคือ director@southcentre.org ประเด็นปัญหาลัทธิกีดกันการค้าด้วยข้ออ้างเรื่องสภาพภูมิอากาศ ที่นำมาเสนอในข้อเขียนนี้ สามารถอ่านเพิ่มเติมได้จากฉบับพิเศษของจดหมายข่าว South Centre bulletin