China and India: Oh to be different
By Pallavi Aiyar
18/03/2008
เหตุความไม่สงบในทิเบต ถือเป็นอีกครั้งหนึ่งที่ปักกิ่งถูกจับได้ว่าไม่ได้เตรียมพร้อม อีกทั้งเปิดเผยให้เห็นการไร้ความสามารถของจีนที่จะจัดการกับความแตกแยกและความแตกต่าง ถึงแม้จะได้ระบุเป้าหมายเอาไว้ว่า ต้องการสร้างสังคมที่มีความกลมกลืนสอดคล้องกัน ในทางตรงกันข้าม ระบบการปกครองแบบหลากหลายของอินเดียทั้งที่ถูกตั้งข้อกังขาเอาไว้มากมาย กลับสามารถเจริญรุ่งเรืองได้อย่างพอเหมาะพอดี ก็เนื่องจากความสามารถของอินเดียในการยอมรับความแตกต่าง
จีนนั้นวางแผนเอาไว้หมดทุกอย่างแล้ว หรือดูเหมือนว่าจะเป็นเช่นนั้น ขณะที่กีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน ณ กรุงปักกิ่ง กำลังจะเริ่มขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า บรรดาสนามกีฬาอันฉูดฉาดเลิศหรู, สนามบินใหญ่ที่สุดในโลก, และทางรถไฟใต้ดินที่ขยายออกไปเป็นกิโลๆ ก็มาบรรจบกันพรักพร้อมที่จะให้บริการ ถือเป็นประกาศนียบัตรรับรองอันมลังเมลือง ต่อความก้าวหน้าทางวัตถุอย่างน่าตื่นใจของประเทศ มีความพยายามแม้กระทั่งที่จะเปลี่ยนแปลงชาวปักกิ่งเองให้รับมือกับโอลิมปิกครั้งปฐมฤกษ์ของพวกเขา จากชาวคอมมิวนิสต์ผู้บูดบึ้งพร้อมที่จะระแวงสงสัยพวกป่าเถื่อนต่างชาติ ให้กลายเป็นชาวเมืองหน้าตายิ้มแย้มผู้มุ่งมั่นในการให้บริการ สามารถกล่าวต้อนรับ “เพื่อนมิตรต่างชาติ” ที่มาสู่นครของพวกตนเป็นภาษาอังกฤษ
ทว่าดังที่เหตุการณ์ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาได้แสดงให้เห็น จากการประท้วงต่อต้านการปกครองทิเบตของจีนซึ่งกำลังแผ่ขยายจากลาซาไปยังหลายส่วนของมณฑลกานซู่และมณฑลเสฉวน ปักกิ่งก็ถูกจับได้ว่า ไม่ได้ตระเตรียมให้ตนเองมีความสามารถในการรับมือกับความแตกแยก ยิ่งกว่านั้น เพราะความไร้สามารถอันนี้แหละ จะกลายเป็นจุดอ่อนเปราะอันใหญ่โตที่สุดของประเทศนี้ในการก้าวเดินไปข้างหน้า เป็นจุดอ่อนที่อาจทำให้ถึงตายขณะที่จีนมุ่งมั่นต่อสู้เพื่อไปสู่ฐานะความเป็นมหาอำนาจผู้ยิ่งใหญ่
ดังที่ปักกิ่งปรารถนาเหลือเกินที่จะสาธิตให้เห็น สิ่งต่างๆ จำนวนมากในจีนได้มีการเปลี่ยนแปลงไปในระยะไม่กี่ปีที่ผ่านมา บ่อยครั้งด้วยฝีก้าวที่รวดเร็วชวนสับสน ความสำเร็จในการลดความยากจนเป็นสัมฤทธิผลอันน่าเกรงขามยิ่ง กรุงปักกิ่งในปี 2008 ด้วยจำนวนมากมายของอาคารระฟ้าสูงลิ่วน่าเวียนหัว, กระแสท่วมท้นของรถราน่าตื่นใจ, และขบวนแถวของศูนย์การค้าซึ่งโอ่อวดสิ่งที่แพงหรูที่สุดของบรรดาแบรนด์แพงหรูทั้งหลาย เหล่านี้ช่างห่างไกลสุดกู่จากนครหลวงของผู้คนที่ต่างสวมเสื้อตัวนอกแบบประธานเหมาเจ๋อตงและแออัดไปด้วยจักรยาน ในช่วงอดีตกาลที่ยังผันจากไปไม่ไกลนัก
อย่างไรก็ตาม ขณะที่มีอะไรมากเหลือเกินเปลี่ยนแปลงไป การตอบโต้ของจีนต่อเหตุการณ์ในทิเบตก็เป็นเครื่องบ่งชี้เหมือนกันว่ายังมีอะไรอีกมากเหลือเกินที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป การตอบโต้ของทางการต่อการประท้วงในลาซาและในที่อื่นๆ ซึ่งเป็นการประท้วงครั้งรุนแรงที่สุดในรอบ 20 ปีนั้น ไม่ได้บ่งชี้เลยว่า ปักกิ่งได้ค้นพบวิถีทางอันเฉียบแหลม “แบบใหม่ระดับโอลิมปิก” ในเรื่องการควบคุมวิกฤต แทนที่จะเป็นเช่นนั้น ประชาชนจีนและทั่วโลกกลับยังคงถูกบังคับให้ต้องพบเห็นวิธีตอบโต้อันน่าเบื่อหน่ายแบบเก่าอันเดิมของระบบราชการ ซึ่งมุ่งหน้าแต่จะคอยเพ่งพินิจมองหาสัญญาณใดๆ ของความไม่พึงพอใจในหมู่ประชากรชาวทิเบต
นี่คือการตอบโต้ที่โดยเนื้อหาสาระแล้วเท่ากับการปฏิเสธว่าไม่ได้มีปัญหาขั้นพื้นฐานใดๆ เลย องค์ประกอบต่างๆ ก็แสนจะคุ้นเคย นั่นคือ การเอาทะไลลามะเป็นแพะรับบาปและประณามใส่ร้ายให้เสียหาย, การปฏิเสธไม่ยอมอนุญาตให้มีความถูกต้องชอบธรรมใดๆ เลยแก่ความรู้สึกไม่พึงพอใจของชาวทิเบต, และการยืนยันมายาภาพของ “ความกลมกลืนสอดคล้องกัน” ในระดับรากฐานในระหว่างประชาชน “ชาวจีน” ทั้งมวล ซึ่งรวมถึงชาวทิเบตด้วย
การปฏิเสธไม่ยอมรับว่ามีความแตกต่างกันได้อย่างถูกต้องชอบธรรมเช่นนี้เอง ถึงที่สุดแล้วก็คือความแตกต่างกันอย่างใหญ่หลวงที่สุด ระหว่างจีนกับมหาอำนาจใหญ่ที่กำลังผงาดขึ้นมาอีกรายหนึ่งของเอเชีย นั่นคือ อินเดีย
คนอินเดียที่ไปเยือนเมืองใหญ่ต่างๆ ของจีน ย่อมรู้สึกประหม่าเคอะเขินอย่างแน่นอนจากโครงสร้างพื้นฐานที่ได้พบเห็น พวกเขามองดูทางหลวงสายกว้างหลายช่องทางที่เรียบเนียนดุจผ้าไหมด้วยความอิจฉาอันยากที่จะปกปิดไว้ได้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่ากำลังเปรียบเทียบมันกับแนวยางมะตอยที่เป็นคลื่นเป็นตะปุ่มตะป่ำบนถนนในบ้านเกิดที่พวกเขาคุ้นเคยมากกว่า พวกเขาชื่นชมพิศวงกับการจราจรที่ไหลเวียนได้อย่างค่อนข้างเป็นระเบียบเรียบร้อยบนทางหลวงกว้างขวางเหล่านี้ โดยไม่ถูกกีดขวางจากพวกวัวพเนจร พวกเขาชวนชี้ตั้งข้อสังเกตว่าไม่ได้มีสลัมแออัดหรือขอทานอยู่ตามถนนหนทางเหล่านี้เลย
จีนไม่เพียงได้สร้างเมืองใหญ่ๆ ซึ่งทันสมัยอย่างแทบจะเหลือเชื่อเมื่อมองจากสายตาของชาวอินเดียเท่านั้น แต่จีนยังได้สร้างตำแหน่งงานและโอกาสแห่งการไต่ขึ้นสู่ฐานะความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น สำหรับคนงานอพยพจากพื้นที่ชนบทนับล้านๆ คน
สัมฤทธิผลทางเศรษฐกิจของจีนในรอบระยะเวลากว่า 30 ปีมานี้ อันที่จริงแล้วไม่มีอะไรในประวัติศาสตร์อาจเทียบเคียงได้เลย อย่างไรก็ตาม จุดหนึ่งที่มักไม่เป็นที่ตระหนักรับรู้ของคนอินเดียซึ่งประทับใจกับประกายแสงอันแวววับของจีนก็คือ ข้อเท็จจริงที่ว่าความสำเร็จทางด้านการเมืองของอินเดียก็มีความงดงามไม่แพ้กันเลย
ประเทศเพื่อนบ้านทางใต้ของจีนที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยแห่งนี้ มีลักษณะโดดเด่นแทบจะไม่เหมือนใครเลย ในบรรดารัฐหลังยุคอาณานิคมด้วยกัน ไม่ใช่เพียงแค่การดำรงอยู่ของมันเท่านั้น หากแต่เป็นการดำรงอยู่ได้ท่ามกลางเงื่อนไขไม่เอื้ออำนวยทั้งหลายทั้งปวง ของประเทศที่ยึดโยงเอาไว้ด้วยกันไม่ใช่ด้วยสภาพทางภูมิศาสตร์, ภาษา, หรือเชื้อชาติ หากแต่โดยแนวความคิด เป็นแนวความคิดที่พิทักษ์รักษา และกระทั่งยกย่องเชิดชู ความเป็นไปได้ที่จะมีอัตลักษณ์หลายๆ อัตลักษณ์ ในอินเดียนั้น คุณสามารถและได้รับการคาดหมายด้วย ว่าจะเป็นหลายๆ สิ่งแล้วก็เป็นสิ่งเดียวไปพร้อมๆ กัน
ดังนั้น ผู้สื่อข่าวของท่านผู้นี้ (Pallavi Aiyar) จึงเป็นทั้งชาวเมืองเดลี, คนที่พูดภาษาอังกฤษ, ลูกครึ่งวรรณะพราหมณ์, ลูกครึ่งชาวทมิฬ, เป็นฮินดูโดยวัฒนธรรม, เป็นคนไร้ศาสนาโดยเจ้าตัวเลือกเอง, เป็นมุสลิมโดยมรดกตกทอด แต่อัตลักษณ์ที่สอดร้อยลักษณะอันหลากหลายเหล่านี้เข้าไว้ด้วยกัน เป็นสิ่งที่ทั้งทรงพลังที่สุดและทั้งไม่มีรูปร่างชัดเจนแน่นอนที่สุดในเวลาเดียวกัน ซึ่งก็คือ เธอเป็นชาวอินเดีย
ด้วยเหตุนี้ สัมฤทธิผลทางการเมืองอันยิ่งใหญ่ของอินเดีย จึงอยู่ที่มันมีการพัฒนากลไกสำหรับการเจรจาต่อรองกันเพื่อให้มีความแตกต่างหลากหลายกันได้อย่างใหญ่โต เคียงข้างไปกับบทเรียนประสบการณ์อันไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ของการไม่เห็นพ้องต้องกันอย่างก้าวร้าวใส่กันอยู่บ่อยครั้ง ฉันทามติที่เป็นสิ่งชี้นำ และบางทีอาจจะเป็นเพียงสิ่งเดียวด้วยซ้ำ ซึ่งก่อรูปเป็นฐานรากของกลไกดังที่กล่าวถึง ก็คือว่าในระบอบประชาธิปไตยนั้น คุณไม่จำเป็นที่จะต้องเห็นพ้องต้องกันให้ได้หรอก –ทั้งนี้มีข้อยกเว้นเฉพาะที่ว่า คุณจะต้องเห็นพ้องกันเกี่ยวกับกฎเกณฑ์พื้นฐานในเรื่องวิธีที่คุณจะไม่เห็นพ้องต้องกัน
ด้วยลักษณะที่แตกต่างกันเป็นตรงกันข้ามเลยกับจีน ระบบการปกครองของอินเดียสามารถเจริญรุ่งเรืองได้อย่างพอเหมาะพอดีก็เพราะความสามารถในการที่จะยอมรับความแตกต่าง ความสามารถที่จะอยู่รอดเป็นประเทศต่อไปได้ของอินเดีย เมื่อพิจารณาจากขนาดขอบเขตแห่งความผิดแผกหลากหลายอย่างน่างุนงงของมันแล้ว ต้องขึ้นอยู่กับความเป็นไปได้ที่จะยอมให้มีความแตกแยก
อินเดียเป็นประเทศที่มีภาษาทางราชการ 22 ภาษา และภาษาที่มีคนพูดจากันเป็นภาษาหลักเท่าที่มีหลักฐานบันทึกเอาไว้ก็มีมากกว่า 200 ภาษา ในประเทศ “ฮินดู” ประเทศนี้ กลับมีคนมุสลิมมากยิ่งกว่าที่มีอยู่ในปากีสถานทั้งประเทศ มรดกตกทอดทางวัฒนธรรมของประเทศนี้ ครอบคลุมถึง ชาวโซโรแอสเตอร์ซึ่งบูชาไฟ และชาวยิวที่ท่องบ่นคัมภีร์ไบเบิลฉบับเก่า ด้วยการไม่มีภาษา เชื้อชาติ ศาสนา หรืออาหารที่เป็นหนึ่งเดียว ก็เป็นที่ชัดเจนเหลือเกินว่า ไม่น่าเชื่อเลยที่อินเดียจะสามารถดำรงอยู่ได้ ทว่าน่าพิศวงที่มันกลับทำได้อย่างไม่น่าเชื่อนี่แหละ มันยังคงสามารถที่จะเป็นประเทศซึ่งปราศจากภาษาหนึ่งเดียว ปราศจากศูนย์กลางหนึ่งเดียว ไม่มีความเป็นหนึ่งเดียวอะไร ยกเว้นแต่ความเป็นหนึ่งเดียวในเรื่องความหลากหลาย
ในประเทศจีน ปกติแล้วก็มีการพูดกันแต่ปากอยู่เหมือนกัน เกี่ยวกับความหลากหลายอันมากมายของประเทศนี้เอง ตัวอย่างที่เห็นชัดคือ ระหว่างการประชุมประจำปีของสภาประชาชนแห่งชาติของจีน พวกผู้แทนที่เป็นตัวแทนของชนชาติส่วนน้อยต่างๆ ของจีนต่างเดินส่งเสียงกรุ๊งกริ๊งไปรอบๆ มหาศาลาประชาชนในกรุงปักกิ่ง ในชุด “ชนชาติ” ของพวกเขา ปักกิ่งยังชอบพร่ำพูดเป็นประจำถึงเสรีภาพทางศาสนาที่ได้รับอยู่โดยชาวพุทธ ชาวคริสต์ และชาวมุสลิม ของประเทศ
แต่โดยข้อเท็จจริงแล้ว หลักการความเชื่อขั้นพื้นฐานที่สุดของปรัชญาการเมืองของจีน หาใช่ความหลากหลายไม่ หากเป็นความเหมือนกันอย่างไม่ให้แตกต่างจากกัน คุณสมบัติความหลอมละลายเป็นหนึ่งเดียวนี้ ไม่เพียงขยายตัวเองเข้าไปสู่สิ่งที่จับต้องได้ อย่างเช่น สถาปัตยกรรม หรือระบบการเขียนตัวหนังสือ เท่านั้น แต่ยังเข้าไปสู่ความคิดอีกด้วย
แม้กระทั่งในประเทศจีนยุคใหม่แห่งศตวรรษที่ 21 ซึ่งมีจำนวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตมากเสียยิ่งกว่าในสหรัฐฯ พวกที่ไม่เห็นพ้องต้องกันกับกระแสหลัก, บรรดาทัศนะที่ถูกทางการระบุว่าอยู่นอกขอบเขตซึ่งกำหนดขึ้นโดยการอภิปรายถกเถียงกระแสหลักที่ผ่านการรับรองของทางการแล้ว, บ่อยครั้งมักพบว่าตนเองถูกตีตราว่าเป็นพวกไม่เห็นด้วยกับทางการ และก็จะถูกระแวงสงสัย ถูกตามล่า และตกอยู่ใต้การคุกคามข่มขู่
การยืนกรานว่า “ความกลมกลืนสอดคล้องกัน” คือความเป็นจริงเพียงอย่างเดียว และการไร้ความสามารถที่จะยอมรับว่าในระหว่างประชาชนของประเทศซึ่งมีขนาดอันใหญ่โตและความสลับซับซ้อนอย่างเช่นประเทศจีนนี้ มีความแตกต่างกันจริงๆ ทั้งในด้านผลประโยชน์และความคิดเห็น ถึงที่สุดแล้วมันก็คือความอ่อนแออันใหญ่หลวงที่สุดของประเทศนี้นั่นเอง
การพูดจากันเกี่ยวกับการปฏิรูปทางการเมืองในจีน ยังคงถูกมัดถูกจำกัดด้วยกรอบขอบเขตแห่ง “ความกลมกลืนสอดคล้องกัน” ที่กำหนดออกมาโดย หูจิ่นเทา ผู้เป็นประธานาธิบดีของประเทศ แนวความคิดที่ต้องยึดมั่นกันมีอยู่ว่า ผลประโยชน์และความคิดเห็นของทุกๆ คนนั้นจะต้องมีความสมดุลกันและต้องแก้ไขกันโดยปราศจากความขัดแย้ง
การเมืองแบบมีฝ่ายค้านซึ่งนำเอาเหตุผลข้อขัดแย้งออกมาปะทะกัน ยังคงถือเป็นสิ่งน่ารังเกียจอย่างแรง เราถูกพร่ำบอกว่า ฉันทามติเพื่อความดีงามของทั่วทั้งชาติคือหนทางที่จะต้องก้าวเดินไป
แต่การคิดฝันจินตนาการไปว่า บัญญัติอันฟังดูน่าศรัทธาเหล่านี้มีความเหมาะสมสามารถที่จะใช้แก้ไขความตึงเครียดที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ภายในสังคมชาวจีน ในเวลาที่สังคมนี้กำลังวิวัฒนาการและเปลี่ยนไปนั้น คือความประมาทสะพร่าโดยแท้ ผลประโยชน์ของพวกคนงานที่ถูกปลดออก กับของผู้บริหารบรรษัทนานาชาติ ย่อมมีความแตกต่างกัน เช่นเดียวกับผลประโยชน์ของพวกนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ย่อมไม่เหมือนกับของผู้พำนักอาศัยในตัวเมืองใหญ่ ซึ่งบ้านของเธอกำลังจะถูกรื้อทิ้งเพื่อเปิดพื้นที่ให้แก่การสร้างศูนย์การค้า
ความขัดแย้งเหล่านี้เป็นเรื่องจำเป็นที่จะต้องยอมรับกัน เพื่อที่จะสามารถค้นหากลไกอันทรงประสิทธิภาพมาแก้ไขความขัดแย้งเหล่านี้กันต่อไปได้
ดังที่การประท้วงในช่วงหลังๆ มานี้ได้สาธิตให้เห็นแล้ว ถึงแม้มีการปราบปรามและจัด “การศึกษาเพื่อให้เกิดความรักชาติ” มากว่า 50 ปีแล้ว หยดหยาดอันแข็งกล้าแห่งความไม่พอใจต่อการปคกรองของปักกิ่งก็ยังคงสามารถก่อให้เกิดความเดือดดาลปะทุขึ้นในทิเบต ระหว่างช่วงเวลากว่า 50 ปีนี้ เศรษฐกิจของเขตนี้ได้รับประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานซึ่งจีนพัฒนาขึ้นมา, อัตราการรู้หนังสือก็เพิ่มขึ้น, และระบบการดูแลสุขภาพได้รับการปรับปรุงดีขึ้น กระนั้นก็ตามที กองก้อนอันใหญ่โตแห่งความไม่พึงพอใจต่อนโยบายของปักกิ่งก็ยังคงฝังแน่น
สำหรับทางการผู้รับผิดชอบของจีนแล้ว มันคือการทำให้ตัวเองพ่ายแพ้ หากเอาแต่ปฏิเสธความเป็นจริงของปัญหา, ประณามความตึงเครียดทั้งหมดให้เป็นความผิดของผู้นำพลัดถิ่น, และยืนกรานว่าชาวทิเบตส่วนข้างมากไม่อาจที่จะมีความสุขยิ่งกว่านี้แล้ว หากไม่อยู่ใต้นโยบายกลมกลืนสอดคล้องเป็นหนึ่งเดียวของพรรคคอมมิวนิสต์
เมื่อยึดมั่นกับจุดยืนเช่นนี้ ไม่ว่าทางการผู้รับผิดชอบของจีนจะมีปฏิกิริยาในทาง “ผ่อนปรน” ต่อผู้ประท้วงหรือไม่ ก็เป็นที่รับประกันได้ว่าชื่อเสียงเกียรติภูมิของพวกเขาจะต้องประสบความเสียหายในทางระหว่างประเทศอยู่นั่นเอง
มองไปข้างหน้าสู่กีฬาโอลิมปิกและล้ำเลยไปจากนั้นอีก แท้ที่จริงแล้วจีนจะทำได้ดีหากมองมาที่อินเดีย เพื่อนบ้านซึ่งจีนมักดูถูกดูหมิ่นว่ายากจนและวุ่นวาย เพื่อทำความเข้าใจถึงความแข็งแกร่งซึ่งการยอมรับความแตกต่างกันจะสามารถสร้างขึ้นมาให้ได้
ความกลมกลืนกันเป็นเป้าหมายที่น่ายกย่อง ทว่าบางครั้งความแตกแยกกันเล็กน้อยก็เป็นเครื่องหมายของสังคมที่มีสุขภาพดีอย่างแท้จริง
Pallavi Aiyar เป็นผู้เขียนหนังสือที่กำลังใกล้จะออกวางจำหน่าย ชื่อ Smoke and Mirrors: China Through Indians Eyes (Harper Collins, April 2008)
By Pallavi Aiyar
18/03/2008
เหตุความไม่สงบในทิเบต ถือเป็นอีกครั้งหนึ่งที่ปักกิ่งถูกจับได้ว่าไม่ได้เตรียมพร้อม อีกทั้งเปิดเผยให้เห็นการไร้ความสามารถของจีนที่จะจัดการกับความแตกแยกและความแตกต่าง ถึงแม้จะได้ระบุเป้าหมายเอาไว้ว่า ต้องการสร้างสังคมที่มีความกลมกลืนสอดคล้องกัน ในทางตรงกันข้าม ระบบการปกครองแบบหลากหลายของอินเดียทั้งที่ถูกตั้งข้อกังขาเอาไว้มากมาย กลับสามารถเจริญรุ่งเรืองได้อย่างพอเหมาะพอดี ก็เนื่องจากความสามารถของอินเดียในการยอมรับความแตกต่าง
จีนนั้นวางแผนเอาไว้หมดทุกอย่างแล้ว หรือดูเหมือนว่าจะเป็นเช่นนั้น ขณะที่กีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน ณ กรุงปักกิ่ง กำลังจะเริ่มขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า บรรดาสนามกีฬาอันฉูดฉาดเลิศหรู, สนามบินใหญ่ที่สุดในโลก, และทางรถไฟใต้ดินที่ขยายออกไปเป็นกิโลๆ ก็มาบรรจบกันพรักพร้อมที่จะให้บริการ ถือเป็นประกาศนียบัตรรับรองอันมลังเมลือง ต่อความก้าวหน้าทางวัตถุอย่างน่าตื่นใจของประเทศ มีความพยายามแม้กระทั่งที่จะเปลี่ยนแปลงชาวปักกิ่งเองให้รับมือกับโอลิมปิกครั้งปฐมฤกษ์ของพวกเขา จากชาวคอมมิวนิสต์ผู้บูดบึ้งพร้อมที่จะระแวงสงสัยพวกป่าเถื่อนต่างชาติ ให้กลายเป็นชาวเมืองหน้าตายิ้มแย้มผู้มุ่งมั่นในการให้บริการ สามารถกล่าวต้อนรับ “เพื่อนมิตรต่างชาติ” ที่มาสู่นครของพวกตนเป็นภาษาอังกฤษ
ทว่าดังที่เหตุการณ์ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาได้แสดงให้เห็น จากการประท้วงต่อต้านการปกครองทิเบตของจีนซึ่งกำลังแผ่ขยายจากลาซาไปยังหลายส่วนของมณฑลกานซู่และมณฑลเสฉวน ปักกิ่งก็ถูกจับได้ว่า ไม่ได้ตระเตรียมให้ตนเองมีความสามารถในการรับมือกับความแตกแยก ยิ่งกว่านั้น เพราะความไร้สามารถอันนี้แหละ จะกลายเป็นจุดอ่อนเปราะอันใหญ่โตที่สุดของประเทศนี้ในการก้าวเดินไปข้างหน้า เป็นจุดอ่อนที่อาจทำให้ถึงตายขณะที่จีนมุ่งมั่นต่อสู้เพื่อไปสู่ฐานะความเป็นมหาอำนาจผู้ยิ่งใหญ่
ดังที่ปักกิ่งปรารถนาเหลือเกินที่จะสาธิตให้เห็น สิ่งต่างๆ จำนวนมากในจีนได้มีการเปลี่ยนแปลงไปในระยะไม่กี่ปีที่ผ่านมา บ่อยครั้งด้วยฝีก้าวที่รวดเร็วชวนสับสน ความสำเร็จในการลดความยากจนเป็นสัมฤทธิผลอันน่าเกรงขามยิ่ง กรุงปักกิ่งในปี 2008 ด้วยจำนวนมากมายของอาคารระฟ้าสูงลิ่วน่าเวียนหัว, กระแสท่วมท้นของรถราน่าตื่นใจ, และขบวนแถวของศูนย์การค้าซึ่งโอ่อวดสิ่งที่แพงหรูที่สุดของบรรดาแบรนด์แพงหรูทั้งหลาย เหล่านี้ช่างห่างไกลสุดกู่จากนครหลวงของผู้คนที่ต่างสวมเสื้อตัวนอกแบบประธานเหมาเจ๋อตงและแออัดไปด้วยจักรยาน ในช่วงอดีตกาลที่ยังผันจากไปไม่ไกลนัก
อย่างไรก็ตาม ขณะที่มีอะไรมากเหลือเกินเปลี่ยนแปลงไป การตอบโต้ของจีนต่อเหตุการณ์ในทิเบตก็เป็นเครื่องบ่งชี้เหมือนกันว่ายังมีอะไรอีกมากเหลือเกินที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป การตอบโต้ของทางการต่อการประท้วงในลาซาและในที่อื่นๆ ซึ่งเป็นการประท้วงครั้งรุนแรงที่สุดในรอบ 20 ปีนั้น ไม่ได้บ่งชี้เลยว่า ปักกิ่งได้ค้นพบวิถีทางอันเฉียบแหลม “แบบใหม่ระดับโอลิมปิก” ในเรื่องการควบคุมวิกฤต แทนที่จะเป็นเช่นนั้น ประชาชนจีนและทั่วโลกกลับยังคงถูกบังคับให้ต้องพบเห็นวิธีตอบโต้อันน่าเบื่อหน่ายแบบเก่าอันเดิมของระบบราชการ ซึ่งมุ่งหน้าแต่จะคอยเพ่งพินิจมองหาสัญญาณใดๆ ของความไม่พึงพอใจในหมู่ประชากรชาวทิเบต
นี่คือการตอบโต้ที่โดยเนื้อหาสาระแล้วเท่ากับการปฏิเสธว่าไม่ได้มีปัญหาขั้นพื้นฐานใดๆ เลย องค์ประกอบต่างๆ ก็แสนจะคุ้นเคย นั่นคือ การเอาทะไลลามะเป็นแพะรับบาปและประณามใส่ร้ายให้เสียหาย, การปฏิเสธไม่ยอมอนุญาตให้มีความถูกต้องชอบธรรมใดๆ เลยแก่ความรู้สึกไม่พึงพอใจของชาวทิเบต, และการยืนยันมายาภาพของ “ความกลมกลืนสอดคล้องกัน” ในระดับรากฐานในระหว่างประชาชน “ชาวจีน” ทั้งมวล ซึ่งรวมถึงชาวทิเบตด้วย
การปฏิเสธไม่ยอมรับว่ามีความแตกต่างกันได้อย่างถูกต้องชอบธรรมเช่นนี้เอง ถึงที่สุดแล้วก็คือความแตกต่างกันอย่างใหญ่หลวงที่สุด ระหว่างจีนกับมหาอำนาจใหญ่ที่กำลังผงาดขึ้นมาอีกรายหนึ่งของเอเชีย นั่นคือ อินเดีย
คนอินเดียที่ไปเยือนเมืองใหญ่ต่างๆ ของจีน ย่อมรู้สึกประหม่าเคอะเขินอย่างแน่นอนจากโครงสร้างพื้นฐานที่ได้พบเห็น พวกเขามองดูทางหลวงสายกว้างหลายช่องทางที่เรียบเนียนดุจผ้าไหมด้วยความอิจฉาอันยากที่จะปกปิดไว้ได้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่ากำลังเปรียบเทียบมันกับแนวยางมะตอยที่เป็นคลื่นเป็นตะปุ่มตะป่ำบนถนนในบ้านเกิดที่พวกเขาคุ้นเคยมากกว่า พวกเขาชื่นชมพิศวงกับการจราจรที่ไหลเวียนได้อย่างค่อนข้างเป็นระเบียบเรียบร้อยบนทางหลวงกว้างขวางเหล่านี้ โดยไม่ถูกกีดขวางจากพวกวัวพเนจร พวกเขาชวนชี้ตั้งข้อสังเกตว่าไม่ได้มีสลัมแออัดหรือขอทานอยู่ตามถนนหนทางเหล่านี้เลย
จีนไม่เพียงได้สร้างเมืองใหญ่ๆ ซึ่งทันสมัยอย่างแทบจะเหลือเชื่อเมื่อมองจากสายตาของชาวอินเดียเท่านั้น แต่จีนยังได้สร้างตำแหน่งงานและโอกาสแห่งการไต่ขึ้นสู่ฐานะความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น สำหรับคนงานอพยพจากพื้นที่ชนบทนับล้านๆ คน
สัมฤทธิผลทางเศรษฐกิจของจีนในรอบระยะเวลากว่า 30 ปีมานี้ อันที่จริงแล้วไม่มีอะไรในประวัติศาสตร์อาจเทียบเคียงได้เลย อย่างไรก็ตาม จุดหนึ่งที่มักไม่เป็นที่ตระหนักรับรู้ของคนอินเดียซึ่งประทับใจกับประกายแสงอันแวววับของจีนก็คือ ข้อเท็จจริงที่ว่าความสำเร็จทางด้านการเมืองของอินเดียก็มีความงดงามไม่แพ้กันเลย
ประเทศเพื่อนบ้านทางใต้ของจีนที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยแห่งนี้ มีลักษณะโดดเด่นแทบจะไม่เหมือนใครเลย ในบรรดารัฐหลังยุคอาณานิคมด้วยกัน ไม่ใช่เพียงแค่การดำรงอยู่ของมันเท่านั้น หากแต่เป็นการดำรงอยู่ได้ท่ามกลางเงื่อนไขไม่เอื้ออำนวยทั้งหลายทั้งปวง ของประเทศที่ยึดโยงเอาไว้ด้วยกันไม่ใช่ด้วยสภาพทางภูมิศาสตร์, ภาษา, หรือเชื้อชาติ หากแต่โดยแนวความคิด เป็นแนวความคิดที่พิทักษ์รักษา และกระทั่งยกย่องเชิดชู ความเป็นไปได้ที่จะมีอัตลักษณ์หลายๆ อัตลักษณ์ ในอินเดียนั้น คุณสามารถและได้รับการคาดหมายด้วย ว่าจะเป็นหลายๆ สิ่งแล้วก็เป็นสิ่งเดียวไปพร้อมๆ กัน
ดังนั้น ผู้สื่อข่าวของท่านผู้นี้ (Pallavi Aiyar) จึงเป็นทั้งชาวเมืองเดลี, คนที่พูดภาษาอังกฤษ, ลูกครึ่งวรรณะพราหมณ์, ลูกครึ่งชาวทมิฬ, เป็นฮินดูโดยวัฒนธรรม, เป็นคนไร้ศาสนาโดยเจ้าตัวเลือกเอง, เป็นมุสลิมโดยมรดกตกทอด แต่อัตลักษณ์ที่สอดร้อยลักษณะอันหลากหลายเหล่านี้เข้าไว้ด้วยกัน เป็นสิ่งที่ทั้งทรงพลังที่สุดและทั้งไม่มีรูปร่างชัดเจนแน่นอนที่สุดในเวลาเดียวกัน ซึ่งก็คือ เธอเป็นชาวอินเดีย
ด้วยเหตุนี้ สัมฤทธิผลทางการเมืองอันยิ่งใหญ่ของอินเดีย จึงอยู่ที่มันมีการพัฒนากลไกสำหรับการเจรจาต่อรองกันเพื่อให้มีความแตกต่างหลากหลายกันได้อย่างใหญ่โต เคียงข้างไปกับบทเรียนประสบการณ์อันไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ของการไม่เห็นพ้องต้องกันอย่างก้าวร้าวใส่กันอยู่บ่อยครั้ง ฉันทามติที่เป็นสิ่งชี้นำ และบางทีอาจจะเป็นเพียงสิ่งเดียวด้วยซ้ำ ซึ่งก่อรูปเป็นฐานรากของกลไกดังที่กล่าวถึง ก็คือว่าในระบอบประชาธิปไตยนั้น คุณไม่จำเป็นที่จะต้องเห็นพ้องต้องกันให้ได้หรอก –ทั้งนี้มีข้อยกเว้นเฉพาะที่ว่า คุณจะต้องเห็นพ้องกันเกี่ยวกับกฎเกณฑ์พื้นฐานในเรื่องวิธีที่คุณจะไม่เห็นพ้องต้องกัน
ด้วยลักษณะที่แตกต่างกันเป็นตรงกันข้ามเลยกับจีน ระบบการปกครองของอินเดียสามารถเจริญรุ่งเรืองได้อย่างพอเหมาะพอดีก็เพราะความสามารถในการที่จะยอมรับความแตกต่าง ความสามารถที่จะอยู่รอดเป็นประเทศต่อไปได้ของอินเดีย เมื่อพิจารณาจากขนาดขอบเขตแห่งความผิดแผกหลากหลายอย่างน่างุนงงของมันแล้ว ต้องขึ้นอยู่กับความเป็นไปได้ที่จะยอมให้มีความแตกแยก
อินเดียเป็นประเทศที่มีภาษาทางราชการ 22 ภาษา และภาษาที่มีคนพูดจากันเป็นภาษาหลักเท่าที่มีหลักฐานบันทึกเอาไว้ก็มีมากกว่า 200 ภาษา ในประเทศ “ฮินดู” ประเทศนี้ กลับมีคนมุสลิมมากยิ่งกว่าที่มีอยู่ในปากีสถานทั้งประเทศ มรดกตกทอดทางวัฒนธรรมของประเทศนี้ ครอบคลุมถึง ชาวโซโรแอสเตอร์ซึ่งบูชาไฟ และชาวยิวที่ท่องบ่นคัมภีร์ไบเบิลฉบับเก่า ด้วยการไม่มีภาษา เชื้อชาติ ศาสนา หรืออาหารที่เป็นหนึ่งเดียว ก็เป็นที่ชัดเจนเหลือเกินว่า ไม่น่าเชื่อเลยที่อินเดียจะสามารถดำรงอยู่ได้ ทว่าน่าพิศวงที่มันกลับทำได้อย่างไม่น่าเชื่อนี่แหละ มันยังคงสามารถที่จะเป็นประเทศซึ่งปราศจากภาษาหนึ่งเดียว ปราศจากศูนย์กลางหนึ่งเดียว ไม่มีความเป็นหนึ่งเดียวอะไร ยกเว้นแต่ความเป็นหนึ่งเดียวในเรื่องความหลากหลาย
ในประเทศจีน ปกติแล้วก็มีการพูดกันแต่ปากอยู่เหมือนกัน เกี่ยวกับความหลากหลายอันมากมายของประเทศนี้เอง ตัวอย่างที่เห็นชัดคือ ระหว่างการประชุมประจำปีของสภาประชาชนแห่งชาติของจีน พวกผู้แทนที่เป็นตัวแทนของชนชาติส่วนน้อยต่างๆ ของจีนต่างเดินส่งเสียงกรุ๊งกริ๊งไปรอบๆ มหาศาลาประชาชนในกรุงปักกิ่ง ในชุด “ชนชาติ” ของพวกเขา ปักกิ่งยังชอบพร่ำพูดเป็นประจำถึงเสรีภาพทางศาสนาที่ได้รับอยู่โดยชาวพุทธ ชาวคริสต์ และชาวมุสลิม ของประเทศ
แต่โดยข้อเท็จจริงแล้ว หลักการความเชื่อขั้นพื้นฐานที่สุดของปรัชญาการเมืองของจีน หาใช่ความหลากหลายไม่ หากเป็นความเหมือนกันอย่างไม่ให้แตกต่างจากกัน คุณสมบัติความหลอมละลายเป็นหนึ่งเดียวนี้ ไม่เพียงขยายตัวเองเข้าไปสู่สิ่งที่จับต้องได้ อย่างเช่น สถาปัตยกรรม หรือระบบการเขียนตัวหนังสือ เท่านั้น แต่ยังเข้าไปสู่ความคิดอีกด้วย
แม้กระทั่งในประเทศจีนยุคใหม่แห่งศตวรรษที่ 21 ซึ่งมีจำนวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตมากเสียยิ่งกว่าในสหรัฐฯ พวกที่ไม่เห็นพ้องต้องกันกับกระแสหลัก, บรรดาทัศนะที่ถูกทางการระบุว่าอยู่นอกขอบเขตซึ่งกำหนดขึ้นโดยการอภิปรายถกเถียงกระแสหลักที่ผ่านการรับรองของทางการแล้ว, บ่อยครั้งมักพบว่าตนเองถูกตีตราว่าเป็นพวกไม่เห็นด้วยกับทางการ และก็จะถูกระแวงสงสัย ถูกตามล่า และตกอยู่ใต้การคุกคามข่มขู่
การยืนกรานว่า “ความกลมกลืนสอดคล้องกัน” คือความเป็นจริงเพียงอย่างเดียว และการไร้ความสามารถที่จะยอมรับว่าในระหว่างประชาชนของประเทศซึ่งมีขนาดอันใหญ่โตและความสลับซับซ้อนอย่างเช่นประเทศจีนนี้ มีความแตกต่างกันจริงๆ ทั้งในด้านผลประโยชน์และความคิดเห็น ถึงที่สุดแล้วมันก็คือความอ่อนแออันใหญ่หลวงที่สุดของประเทศนี้นั่นเอง
การพูดจากันเกี่ยวกับการปฏิรูปทางการเมืองในจีน ยังคงถูกมัดถูกจำกัดด้วยกรอบขอบเขตแห่ง “ความกลมกลืนสอดคล้องกัน” ที่กำหนดออกมาโดย หูจิ่นเทา ผู้เป็นประธานาธิบดีของประเทศ แนวความคิดที่ต้องยึดมั่นกันมีอยู่ว่า ผลประโยชน์และความคิดเห็นของทุกๆ คนนั้นจะต้องมีความสมดุลกันและต้องแก้ไขกันโดยปราศจากความขัดแย้ง
การเมืองแบบมีฝ่ายค้านซึ่งนำเอาเหตุผลข้อขัดแย้งออกมาปะทะกัน ยังคงถือเป็นสิ่งน่ารังเกียจอย่างแรง เราถูกพร่ำบอกว่า ฉันทามติเพื่อความดีงามของทั่วทั้งชาติคือหนทางที่จะต้องก้าวเดินไป
แต่การคิดฝันจินตนาการไปว่า บัญญัติอันฟังดูน่าศรัทธาเหล่านี้มีความเหมาะสมสามารถที่จะใช้แก้ไขความตึงเครียดที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ภายในสังคมชาวจีน ในเวลาที่สังคมนี้กำลังวิวัฒนาการและเปลี่ยนไปนั้น คือความประมาทสะพร่าโดยแท้ ผลประโยชน์ของพวกคนงานที่ถูกปลดออก กับของผู้บริหารบรรษัทนานาชาติ ย่อมมีความแตกต่างกัน เช่นเดียวกับผลประโยชน์ของพวกนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ย่อมไม่เหมือนกับของผู้พำนักอาศัยในตัวเมืองใหญ่ ซึ่งบ้านของเธอกำลังจะถูกรื้อทิ้งเพื่อเปิดพื้นที่ให้แก่การสร้างศูนย์การค้า
ความขัดแย้งเหล่านี้เป็นเรื่องจำเป็นที่จะต้องยอมรับกัน เพื่อที่จะสามารถค้นหากลไกอันทรงประสิทธิภาพมาแก้ไขความขัดแย้งเหล่านี้กันต่อไปได้
ดังที่การประท้วงในช่วงหลังๆ มานี้ได้สาธิตให้เห็นแล้ว ถึงแม้มีการปราบปรามและจัด “การศึกษาเพื่อให้เกิดความรักชาติ” มากว่า 50 ปีแล้ว หยดหยาดอันแข็งกล้าแห่งความไม่พอใจต่อการปคกรองของปักกิ่งก็ยังคงสามารถก่อให้เกิดความเดือดดาลปะทุขึ้นในทิเบต ระหว่างช่วงเวลากว่า 50 ปีนี้ เศรษฐกิจของเขตนี้ได้รับประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานซึ่งจีนพัฒนาขึ้นมา, อัตราการรู้หนังสือก็เพิ่มขึ้น, และระบบการดูแลสุขภาพได้รับการปรับปรุงดีขึ้น กระนั้นก็ตามที กองก้อนอันใหญ่โตแห่งความไม่พึงพอใจต่อนโยบายของปักกิ่งก็ยังคงฝังแน่น
สำหรับทางการผู้รับผิดชอบของจีนแล้ว มันคือการทำให้ตัวเองพ่ายแพ้ หากเอาแต่ปฏิเสธความเป็นจริงของปัญหา, ประณามความตึงเครียดทั้งหมดให้เป็นความผิดของผู้นำพลัดถิ่น, และยืนกรานว่าชาวทิเบตส่วนข้างมากไม่อาจที่จะมีความสุขยิ่งกว่านี้แล้ว หากไม่อยู่ใต้นโยบายกลมกลืนสอดคล้องเป็นหนึ่งเดียวของพรรคคอมมิวนิสต์
เมื่อยึดมั่นกับจุดยืนเช่นนี้ ไม่ว่าทางการผู้รับผิดชอบของจีนจะมีปฏิกิริยาในทาง “ผ่อนปรน” ต่อผู้ประท้วงหรือไม่ ก็เป็นที่รับประกันได้ว่าชื่อเสียงเกียรติภูมิของพวกเขาจะต้องประสบความเสียหายในทางระหว่างประเทศอยู่นั่นเอง
มองไปข้างหน้าสู่กีฬาโอลิมปิกและล้ำเลยไปจากนั้นอีก แท้ที่จริงแล้วจีนจะทำได้ดีหากมองมาที่อินเดีย เพื่อนบ้านซึ่งจีนมักดูถูกดูหมิ่นว่ายากจนและวุ่นวาย เพื่อทำความเข้าใจถึงความแข็งแกร่งซึ่งการยอมรับความแตกต่างกันจะสามารถสร้างขึ้นมาให้ได้
ความกลมกลืนกันเป็นเป้าหมายที่น่ายกย่อง ทว่าบางครั้งความแตกแยกกันเล็กน้อยก็เป็นเครื่องหมายของสังคมที่มีสุขภาพดีอย่างแท้จริง
Pallavi Aiyar เป็นผู้เขียนหนังสือที่กำลังใกล้จะออกวางจำหน่าย ชื่อ Smoke and Mirrors: China Through Indians Eyes (Harper Collins, April 2008)