รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์บนเฟซบุ๊ก “Thira Woratanarat” ระบุว่า สถานการณ์ทั่วโลก 23 ตุลาคม 2563
ทำลายสถิติอีกครั้ง ติดเพิ่มวันเดียวเกินครึ่งล้าน บ่ายนี้คาดว่าจะทะลุ 42 ล้าน เมื่อวานติดเพิ่มถึง 518,962 คน รวมแล้วตอนนี้ 41,932,766 คน ตายเพิ่มอีก 6,751 คน ยอดตายรวม 1,141,506 คน
อเมริกา รุนแรงขึ้นชัดเจน ติดเพิ่มอีกถึง 81,525 คน รวม 8,652,138 คน ตายเพิ่มอีกเกินพันคน
อินเดีย ติดเพิ่ม 54,482 คน รวม 7,759,640 คน
บราซิล ติดเพิ่ม 33,862 คน รวม 5,332,634 คน
รัสเซีย ติดเพิ่ม 15,971 คน รวม 1,463,306 คน
อันดับ 5-10 ตอนนี้เปลี่ยนอันดับเป็น สเปน อาร์เจนตินา ฝรั่งเศส โคลอมเบีย เปรู และเม็กซิโก ติดกันหลักพันถึงหลายหมื่นต่อวัน
ฝรั่งเศสกำลังจะมีผู้ติดเชื้อเกินล้านคนเป็นประเทศที่ 7 ของโลก คาดว่าจะแตะล้านคนตอนสายๆ วันนี้ ส่วนโคลอมเบียจะแตะล้านคนเป็นประเทศที่ 8 ในอีกสองวัน
สหราชอาณาจักร อิตาลี เยอรมัน เนเธอร์แลนด์ สวีเดน แอฟริกาใต้ แคนาดา รวมถึงอิหร่าน บังคลาเทศ ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และเมียนมาร์ ติดกันเพิ่มหลักพันถึงหลายหมื่น
หลายต่อหลายประเทศในยุโรป ก็ยังติดกันหลักร้อยถึงหลักพัน
ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และมาเลเซียติดเพิ่มกันหลายร้อย ส่วนจีน ออสเตรเลีย และฮ่องกง ติดเพิ่มกันหลักสิบ ในขณะที่สิงคโปร์ นิวซีแลนด์ และเวียดนาม ยังมีติดเพิ่มต่ำกว่าสิบ
สถานการณ์ในเมียนมาร์ยังรุนแรงทะลุ 4 หมื่นคนและตายเกินพันคนไปแล้ว เมื่อวานติดเพิ่มอีก 1,312 คน ตายเพิ่มอีก 33 คน ตอนนี้ยอดรวม 41,008 คน ตายไป 1,005 คน อัตราตายตอนนี้ 2.5%
หากเราวิเคราะห์ยอดการติดเชื้อต่อวันตลอดหกเดือนที่ผ่านมาจะพบว่า เมษาจะเฉลี่ยราว 75,000 คนต่อวัน มิถุนายนจะเฉลี่ยราว 150,000 คนต่อวัน สิงหาคมจะเฉลี่ยประมาณ 250,000 คนต่อวัน มาถึงตุลาคมประมาณ 350,000 คนต่อวัน และล่าสุดช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาเริ่มเห็นแตะ 4-5 แสนคนต่อวัน
ชัดเจนว่าแพร่ระบาดไวขึ้นกว่าครึ่งปีก่อนถึง 5-7 เท่า จากที่ติดตามข้อมูลมา ไม่มีประเทศใดที่ประกาศชัดเจนว่ารับ "โรค COVID-19 เป็นโรคประจำถิ่น" ประเทศต่างๆ ล้วนไม่อยากให้ประชาชนของเค้าติดเชื้อจนเจ็บป่วยล้มตายกันมากมาย แม้บางประเทศจะเคยลองให้คนใช้ชีวิตเสรี เชื่อในวินัยของคน และหวังว่าติดเชื้อแล้วจะเกิดภูมิคุ้มกันหมู่ หรือ herd immunity แต่สุดท้ายประเมินแล้วล้มเหลว ติดกันมาก ตายกันมาก ก็หันมาควบคุมกันเคร่งครัด
การจะประกาศว่าโควิดเป็นโรคประจำถิ่นได้นั้น มักเกิดจากการมีการแพร่ระบาดหนัก ต่อเนื่อง และมีปัจจัยแวดล้อมมาทำให้เชื้อคงอยู่ในสังคมตลอดไประยะยาว โดยหาวิธีจัดการแก้ไขไม่ได้
สิ่งที่ประชาชนควรคิด พิจารณาให้ดีคือ ประเทศไทยยังไม่ได้เป็นเช่นนั้น แต่เหตุใดรัฐจึงส่งคนมาสื่อสารแก่สาธารณะเช่นนั้น
หยิบยกคำถามดังกล่าวมากระตุ้นให้คิด หาข้อมูล และรู้เท่าทันความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นในสังคมถัดจากนี้ไป และเน้นย้ำความสำคัญที่เราแต่ละคนต้องช่วยเหลือตนเอง ป้องกันตัวไม่ให้ติดเชื้อระหว่างการใช้ชีวิตประจำวัน
หากระบาดซ้ำ ต่างประเทศมีบทเรียนให้เราเรียนรู้ว่า มักเร็ว แรง หาต้นตอลำบาก คุมยาก จำนวนติดเชื้อสูงสุดต่อวันเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมหลายเท่า ใช้เวลานานกว่าเดิม 1.5 เท่าเป็นอย่างน้อย คาดว่าหากเกิดในประเทศไทยเราอาจต้องใช้เวลาสู้ราวสามเดือนเลยทีเดียว
ขอให้ใส่หน้ากากเสมอ และคอยสังเกตอาการตนเองและครอบครัว หากไม่สบาย ควรหยุดเรียนหยุดงานและรีบไปตรวจครับ