รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก Harirak Sutabutr ระบุว่า ในที่สุดก็ม้วนเดียวจบจริงๆ แต่ไม่ได้จบตามที่ม็อบต้องการ เมื่อคืนดูคลิปขบวนเสด็จ ผ่านม็อบบริเวณสะพานชมัยมรุเชฐ ซึ่งเข้าใจว่าเป็นขากลับจากวัดพระศรีรัตนศาสดาราม คนในม็อบต่างได้โอกาสชู 3 นิ้วใส่ขบวนเสด็จ
นั่นยังพอทำเนา พลันได้ยินเสียงตะโกนที่ใช้คำหยาบคาย ชนิดที่ไม่เคยมีใครใช้คำเช่นนี้ต่อพระมหากษัตริย์เรามาก่อน โกรธแค้นอะไรกันถึงขนาดนั้น ที่ทนไม่ได้ คือมีการลามปามไปถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ด้วย
ฟังแล้วนึกไม่ถึงว่า คนไทยที่เกิดในแผ่นดินไทยจะทำกันถึงขนาดนี้ต่อพระเจ้าแผ่นดินของตัวได้ เป็นไปไม่ได้เลยที่คนเราจะมีความโกรธแค้น เกลียดชังต่ออีกคนหนึ่งที่ไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์กันโดยตรง หากไม่มีการปั่นกระแส และบ่มเพาะความเกลียดชังด้วยการป้อนข้อมูลซ้ำแล้วซ้ำเล่าให้กับบุคคลที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย
ความบ้าคลั่งของม็อบเมื่อคืนขณะขบวนเสด็จเคลื่อนผ่าน ไม่ต่างอะไรจากความบ้าคลั่งของมวลชนที่บุกเข้าไปเข่นฆ่านักศึกษาและประชาชน ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เช้าวันที่ 6 ตุลาคม 2519 ต่างกันเพียงแต่เป็นความเกลียดชัง บ้าคลั่งที่สลับข้างกันกับในปัจจุบันเท่านั้น
เมื่อคืนเห็นตำรวจที่พยายามเปิดทางให้ขบวนเสด็จเคลื่อนผ่าน ได้ยินคนตะโกนคำหยาบอยู่ข้างหลัง แต่เห็นตำรวจนิ่งมาก ไม่ทราบว่าจะชมว่ามีความอดกลั้นดี หรือตำหนิดีว่า ทำไมไม่ทำอะไรเลยดี
เหตุการณ์นี้ ทำให้นึกถึงทหาร กลัวว่าจะมีการทำรัฐประหาร นึกต่ออีกว่า น่าจะมีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน เพราะปล่อยให้ม็อบทำอย่างนี้ต่อไปอีกไม่ได้แล้ว หากปล่อยต่อไป เหตุการณ์แบบ 6 ตุลา อาจเกิดขึ้นอีก
เช้าขึ้นเห็นข่าวว่ามีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน และม็อบได้สลายไปแล้วประมาณตี 5 ต้องชมว่ารัฐบาลตัดสินใจถูกต้องแล้ว ขณะนี้เจ้าลัทธิที่อยู่เบื้องหลังการปั่นกระแสความเกลียดชังต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ คงจะหนาวๆร้อนๆไปตามๆกันแล้ว กรรมใดใครก่อไว้ ผู่ก่อย่อมได้รับกรรมนั้นสนองกลับ ไม่ช้าก็เร็ว ดูกันต่อไปครับ