ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยซูเปอร์โพล (SUPER POLL) นำเสนอผลสำรวจภาคสนาม เรื่อง "การเมืองใหม่ หรือ เก่า สาดสี" กรณีศึกษาประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ จำนวน 5,260 ตัวอย่าง
เมื่อถามถึง การเมืองของพรรคการเมืองต่างๆ วันนี้ พบว่าส่วนใหญ่หรือร้อยละ 93.3 ระบุ เป็นการเมืองเก่า เพราะนำมวลชนลงถนน เคลื่อนไหวนอกสภา สนับสนุนกลุ่มจาบจ้วงล่วงละเมิดสถาบัน เสาหลักของชาติ สาดสี เสียดสี พ่นสี จ้องโค่นล้มรัฐบาล ไม่สนใจว่าจะซ้ำเติมวิกฤตชาติและทุกข์ยากของประชาชน ขอให้พรรคพวกตนขึ้นมีอำนาจ ปล่อยต่างชาติเข้าแทรกแซงสั่นคลอนประเทศ ยังไม่มีผลงานแต่จะเข้ามาทำงาน กลุ่มการเมืองระดมทุนบริจาคจากประชาชนไปช่วยเหยื่อโควิดแต่เอาไปจ่ายค่าน้ำค่าไฟกักเก็บไว้จ่ายประชาชนไม่หมด ยังเห็นการทำงานการเมืองแบบเดิม ๆ
ในขณะที่ ร้อยละ 6.7 ระบุเป็นการเมืองใหม่ เพราะ มีคนรุ่นใหม่ นโยบายใหม่ มาตรการใหม่ สถานการณ์ใหม่ช่วงโควิด-19 มีประเด็นใหม่ ใช้เทคโนโลยีโซเชียลมีเดียทำงานการเมือง เป็นต้น
ที่น่าพิจารณาคือ เมื่อเปรียบเทียบแนวโน้มตั้งแต่เดือนมิถุนายน ถึงต้นตุลาคม 2563 ต่อพรรคการเมืองที่ตั้งใจจะเลือกตั้ง ถ้าวันนี้เลือกตั้ง พบว่า ในเดือนมิถุนายน พรรคอันดับหนึ่ง ได้แก่ พรรคก้าวไกล (อนาคตใหม่เดิม) ร้อยละ 11.7 และเพิ่มขึ้นอีกในเดือนกรกฎาคม มาอยู่ที่ร้อยละ 13.0 แต่ตั้งแต่ต้นเดือนกันยายน ปลายเดือนกันยายน จนถึงต้นเดือนตุลาคม ที่ผ่านมา สัดส่วนของผู้ตั้งใจจะเลือกพรรคก้าวไกล หรืออนาคตใหม่เดิม ร่วงหล่นลงมาตามลำดับจากร้อยละ 13.0 ในเดือนกรกฎาคม มาอยู่ที่ร้อยละ 5.9 ในต้นเดือนกันยายน ร้อยละ 2.4 ในปลายเดือนกันยายน และร้อยละ 1.2 ในช่วงต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ในขณะที่พรรคเพื่อไทย ช่วงเดือนมิถุนายน อยู่ที่ร้อยละ 10.8 เดือนกรกฎาคม อยู่ที่ร้อยละ 9.3 ต้นเดือนกันยายน อยู่ที่ร้อยละ 5.4 ปลายกันยายน อยู่ที่ร้อยละ 2.3 แต่ต้นตุลาคม ขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 4.9
ที่น่าสนใจคือ พรรคพลังประชารัฐ ช่วงเดือนมิถุนายน อยู่ที่ร้อยละ 9.4 กรกฎาคม อยู่ที่ร้อยละ 10.9 ต้นกันยายน (ช่วงถูกอภิปราย) กลับสูงขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 18.8 แต่ปลายกันยายน ตกหล่นมาอยู่ที่ร้อยละ 4.9 และต้นตุลาคมขึ้นอยู่ที่ร้อยละ 6.1
ส่วนพรรคอื่น ๆ ทั้งพรรคร่วมรัฐบาล และพรรคฝ่ายค้าน อื่น ๆ สัดส่วนไม่แตกต่างกันนัก ในแต่ละช่วงเดือนที่ทำการสำรวจ
อย่างไรก็ตาม ที่น่าสนใจคือ ทุกช่วงเวลาสำรวจพบว่า ส่วนใหญ่ต้องการพรรคการเมืองใหม่แท้จริง ไม่เป็นต้นตอของความขัดแย้งของคนในชาติ ไม่ล่วงละเมิดร่วมมือกับต่างชาติสั่นคลอนสถาบัน เสาหลักของชาติ ซื่อสัตย์ ไม่แย่งตำแหน่ง ทรยศหักหลังกัน มีผลงานช่วยเหลือประชาชนได้จริง และอื่น ๆ คือสัดส่วนเดือนมิถุนายน อยู่ที่ร้อยละ 57.0 เดือนกรกฎาคม อยู่ที่ร้อยละ 59.6 ต้นกันยายน อยู่ที่ร้อยละ 62.9 ปลายกันยายน พุ่งสูงขึ้นอยู่ที่ร้อยละ 84.0 และต้นตุลาคม อยู่ที่ร้อยละ 81.9
ที่น่าสนใจคือ ความเป็นจริงในโลกโซเชียล พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 82.8 ใช้อินเทอร์เน็ต ในช่วง 30 วันที่ผ่านมา ในขณะที่ร้อยละ 17.2 ไม่ได้ใช้ และที่น่าพิจารณาคือ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 94.3 ไม่ใช้ทวิตเตอร์ (Twitter) ทวีต รีทวีต เรื่องการเมืองเลย ในช่วง 30 วันที่ผ่านมา มีเพียงร้อยละ 5.7 เท่านั้นที่ใช้ ยิ่งไปกว่านั้น ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 94.7 ไม่เคยใช้เฟซบุ๊ก (Facebook) โพสต์ แชร์ เรื่องการเมืองเลย ในช่วง 30 วันที่ผ่านมา มีเพียงร้อยละ 5.3 เท่านั้นที่ทำ ยิ่งไปกว่านั้นอีก ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 98.0 ไม่เคยใช้ อินสตาแกรม (IG) โพสต์อะไรเรื่องการเมืองเลย ในช่วง 30 วันที่ผ่านมา มีเพียงร้อยละ 2 เท่านั้นที่ทำ
อย่างไรก็ตาม ที่น่าขบคิดคือ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 84.0 ระบุ ถือว่าเป็นการแทรกแซงประเทศไทยที่มีการออกมาเคลื่อนไหวของ บริษัทโซเชียลมีเดียข้ามชาติ บางบริษัท เรื่องการเมือง และเจ้าหน้าที่รัฐ นักการเมืองต่างชาติบางประเทศ กับการแทรกแซงการเมืองและเรื่องละเอียดอ่อนกระทบจิตใจของคนไทย ในขณะที่ ร้อยละ 16.0 ไม่ถือว่าเป็นการแทรกแซง ยิ่งไปกว่านั้น ผลสำรวจพบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 84.8 ระบุ น่ารังเกียจ ที่มีการออกมาเคลื่อนไหวของ บริษัทโซเชียลมีเดียข้ามชาติ บางบริษัท เรื่องการเมือง และเจ้าหน้าที่รัฐ นักการเมืองต่างชาติบางประเทศ กับการแทรกแซงการเมืองและเรื่องละเอียดอ่อนกระทบจิตใจของคนไทย
ผู้อำนวยการสำนักวิจัยซูเปอร์โพล กล่าวว่า ผลการศึกษาครั้งนี้มีสองประเด็นใหญ่ ๆ ให้คนไทยทั้งประเทศช่วยกันขบคิดพิจารณา คือ คะแนนความนิยมของทุกพรรคการเมืองร่วงหล่น น่าจะเกิดจากต่างพรรคต่างมีเหตุปัจจัยที่ก่อกรรมแตกต่างกัน คือ พรรคก้าวไกล กับพรรคเพื่อไทย อาจมีภาพของการเข้าร่วมสนับสนุนการชุมนุมของกลุ่มบุคคลที่ล่วงละเมิดจาบจ้วง สั่นคลอนเสาหลักของชาติ เป็นต้นตอแห่งความขัดแย้งรุนแรงบานปลายของคนในชาติ ร่วมมือกับต่างชาติ สั่นคลอนประเทศ ซ้ำเติมวิกฤตชาติและทุกข์ยากของประชาชน ที่หลายคนมองว่า แกนนำกลุ่มเคลื่อนไหวน่าจะได้รับผลประโยชน์ส่วนตัวจากแหล่งสนับสนุน แต่ประชาชนทั่วไปไม่ได้ประโยชน์อะไร จะมีประโยชน์อะไรถ้าชนะบนซากปรักหักพังของชาติและประชาชน ส่วนที่พรรคพลังประชารัฐคะแนนนิยมที่ตกลงนั้น พบว่ามีสาเหตุจากปมแก้ไขรัฐธรรมนูญ และปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจขณะนี้
นอกจากนี้ ผลการศึกษาเบื้องต้นพบว่า ข้อมูลความเป็นจริงในโลกโซเชียลน่าจะถูกพิสูจน์จากผลการศึกษาครั้งนี้ได้ว่า จำนวนคนที่ ทวีต รีทวีต โพสต์ แชร์ ในโซเชียลมีเดียในเรื่องการเมืองเป็นคนไทยในประเทศไทย เพียงร้อยละ 5 เท่านั้น หรือประมาณการจากจำนวนคนไทยที่ถูกศึกษาครั้งนี้ทั้งหมดประมาณ 2-3 ล้านคนเท่านั้น จากกลุ่มเป้าหมาย 50 กว่าล้านคน และในจำนวนประมาณ 2-3 ล้านคนที่ใช้โซเชียลมีเดียเรื่องการเมือง ก็มีการแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มคือ สนับสนุนรัฐบาล ไม่สนับสนุนรัฐบาล และ พลังเงียบ ไม่ใช่จะอยู่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งฝ่ายเดียว
ดังนั้นจำเป็นต้องให้คนไทยทั้งประเทศรู้ความเป็นจริงในโลกโซเชียลจริง ๆ และต้องส่งสัญญาณไปยังกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมืองที่กำลังปั่นกระแสในโลกโซเชียลที่ทั้งหลอกตัวเองและปั่นกระแสให้เกิดการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายสร้างความแตกแยกของคนในชาติตนเอง กลุ่มโซเชียลมีเดียข้ามชาติ เจ้าหน้าที่รัฐต่างชาติ นักการเมืองต่างชาติ ควรหยุดคุกคามจิตใจของคนไทยและหยุดสั่นคลอนเสาหลักของชาติและของประชาชนคนไทย คนไทยบางคนและต่างชาติกำลังมุ่ง บอนไซ ประเทศไทยไม่ให้โตไปกว่านี้เพราะถ้าแข็งแกร่งกว่านี้ ประเทศไทยจะยิ่งใหญ่และเกินกว่าที่พวกเขาจะควบคุมได้ โดยสรุป คนไทยทุกคนควรจะหันหน้าหารือกันด้วยสันติวิธี ด้วยความสงบสุข คำนึงถึงผลประโยชน์ชาติ ไม่ก่อความขัดแย้งรุนแรงบานปลาย ทำลายชาติบ้านเมืองและความอยู่เย็นเป็นสุขของคนไทยด้วยกันเอง