xs
xsm
sm
md
lg

“สันติ” โชว์พาว รมว.คลังตัวจริง ไม่แคร์ “อาคม” ชิงตั้งบอร์ดคุมเงินนอกงบ 4 ล้านล้าน ** โหยหากันต่อไป “การเมืองใหม่ที่แท้จริง” ผลโพลชี้ชัด การเมืองวันนี้ยังเป็นแบบเก่า

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ข่าวปนคน คนปนข่าว



**“สันติ” พร้อมมากอีกแล้วครับท่าน โชว์พาว รมว.คลังตัวจริง ไม่แคร์ “อาคม” ชิงตั้งบอร์ดคุมเงินนอกงบ 4 ล้านล้าน แถมปาดหน้าชง ครม. ตั้งผู้จัดการ ธ.ก.ส.คนใหม่

“อาคม เติมพิทยาไพสิฐ” รมว.คลังคนใหม่ มีกำหนดเข้าถวายสัตย์ปฏิญาณในช่วงค่ำวันที่ 11 ต.ค. หลังจากถวายสัตย์ปฏิญาณแล้ว ไฟต์บังคับหนีไม่พ้นต้องเดินหน้าแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ในฐานะ รมว.คลัง อย่างที่ “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ตั้งความหวังไว้ แต่ก่อนจะลงมือทำงาน ดูทิศทางแล้วน่าจะคงต้องแก้ปัญหาภายในกระทรวงก่อนเหมือนๆ ที่ “ปรีดี ดาวฉาย” รมว.คลัง คนก่อนเผชิญมาแล้ว ...นั่นคือ การทำงานร่วมกับ “สันติ พร้อมพัฒน์” รมช.คลัง ที่พรีเซนต์ตัวเองว่า “พร้อมมาก” ที่จะทำหน้าที่ รมว.คลังตัวจริง แทรกแซงได้ก็แทรกแซงในทุกโอกาส แม้ว่าตัวเองจะอยู่ในฐานะรัฐมนตรีช่วยก็ตาม
ข่าวว่า ขณะที่ “อาคม” ยังไม่ทันเข้ากระทรวง “สันติ” ในฐานะรักษาการ รมว.คลัง ก็ต้อนรับด้วยการทำหนังสือถึงสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เสนอเรื่อง การแต่งตั้งกรรมการในบอร์ด นโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน ซึ่งมีอำนาจกำกับดูแลกองทุนหมุนเวียน หรือทุนหมุนเวียนที่เป็นเงินนอกงบประมาณ 4 ล้านล้านบาท ให้ ครม.พิจารณา

อาคม เติมพิทยาไพสิฐ
เรียกว่า ชิงเสนอก่อนที่ “อาคม” จะเข้ามาบริหารจัดการ ซึ่งตามพระราชบัญญัติการบริหารทุนหมุนเวียน พ.ศ. 2558 กำหนดให้บอร์ดต้องประกอบด้วย “รมว.คลัง” เป็นประธาน
บอร์ดนี้ต้องทำหน้าที่ดูแล กำหนดนโยบายและแผนการบริหารทุนหมุนเวียนเสนอต่อ ครม. ว่ากันว่า ปัจจุบันมีทุนหมุนเวียนจำนวน 115 ทุน สินทรัพย์รวม 4.39 ล้านล้านบาท
งานนี้ เห็นตัวเลขขุมทรัพย์แล้วคงไม่ต้องพูดกันมากว่า “สันติ” ต้องการคุมอำนาจในบอร์ดนี้ เพื่ออะไร ? และทำไมไม่รอให้ รมว.คลัง “อาคม” เข้ามาตัดสินใจ
ฟังว่าไม่เพียงชิงตัดหน้าเสนอตั้งบอร์ดคุมขุมทรัพย์มหาศาล เมื่อเร็วๆ นี้ รมช.คลัง ที่แข็งแกร่งสุดในปฐพียัง “เบ่งกล้าม” โชว์ ก่อนหน้า “อาคม” จะมาทำหน้าที่ ด้วยการอาศัยฐานะรักษาการ รมว.คลัง ปาดหน้าอาคม เสนอเรื่องการแต่งตั้ง ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร หรือ ธ.ก.ส. คนใหม่แทน “อภิรมย์ สุขประเสริฐ” ที่ครบวาระไปเมื่อวันที่ 8 ต.ค.ที่ผ่านมา ให้ที่ประชุม ครม.พิจารณา ถือว่าเป็นการเสนอช่วงที่มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ “อาคม” เป็นขุนคลัง
ตามมารยาทก็ควรจะต้องรอ รมว.คลังเข้ามา แต่ “สันติ” ก็ไม่รอ ไม่แคร์สื่อที่จะมองว่า เป็นการรวบหัวรวบหาง เพราะคนที่เสนอให้เป็นผู้จัดการ ธ.ก.ส.คนใหม่ ก็มีข้อคลางแคลงใจ โดย “สันติ” ต้องการคนของตัวเองหรือไม่ ?

สันติ พร้อมพัฒน์
โดย “สันติ” เสนอให้ “กษาปณ์ เงินรวง” รองผู้จัดการ ธ.ก.ส. เป็นผู้จัดการคนใหม่ แต่จากการสรรหาที่ “ปรีดี ดาวฉาย” เป็นประธานกรรมการในขณะนั้น มีมติเห็นชอบแต่งตั้ง คือ “ธนารัตน์ งามวลัยรัตน์” รองผู้จัดการ ธ.ก.ส. อีกคน เป็นแทน “อภิรมย์” เนื่องจากมีคะแนนนำหน้ากว่าทุกคน
ถ้ายังจำกันได้ การตั้งผู้จัดการ ธ.ก.ส.คนใหม่ เคยเป็นประเด็นขัดแย้งกันมาแล้วระหว่าง “ปรีดี” กับ “สันติ” ในช่วงที่ปรีดียังเป็นรมว.คลัง และเชื่อกันว่า เป็นอีกปมหนึ่งที่ปรีดีรับไม่ได้ ที่โดนลดทอนอำนาจ รมว.คลัง จาก รมช. จนขอลาออกไป
เรื่องนี้ “สันติ” ชิงจังหวะก่อนที่ “อาคม” จะมา เห็นได้ชัดว่าสวนมติจากที่ “ปรีดี” เคยเสนอไว้...
จากนี้ก็ต้องดูว่า เมื่อ “อาคม” เข้าว่าการที่กระทรวงการคลังเต็มที่ จะทำอย่างไรกับสองเรื่องที่ว่ามา ทั้งการตั้งบอร์ดคุมงบ 4 ล้านล้าน และการตั้งผู้จัดการ ธ.ก.ส.คนใหม่
เมื่อ “สันติ” โชว์พาว เบ่งกล้าม ทำนอง รมช.ฝ่ายการเมืองต้องมีอำนาจเหนือรัฐมนตรีคนนอก แบบนี้ต้องจับตาดูให้ดีๆ “อาคม” ที่มี “ลุงตู่” หนุนหลังจะเป็นอย่างไร แต่ที่แน่ๆ กระทรวงการคลังส่อเค้าระอุ จาก รมช.ผู้พร้อมมาก ที่ไม่ธรรมดาคนนี้แน่นอน



** โหยหากันต่อไป “การเมืองใหม่ที่แท้จริง” ผลโพลชี้ชัด การเมืองวันนี้ยังเป็นแบบเก่า สาดสีใส่ฝ่ายตรงข้าม ปลุกมวลชนลงถนน ไม่สนวิกฤตชาติ

ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ
เป็นเวลาหลายปีแล้ว ที่บ้านเรามีพรรคการเมืองที่ประกาศตัวว่าเป็นตัวแทนของคนรุ่นใหม่ ส่งผู้สมัครที่เป็นคนรุ่นใหม่ลงรับเลือกตั้ง จนได้รับเลือกเข้าไปเป็น ส.ส.ในสภาจำนวนมากถึง อันดับ 3 ในการเลือกตั้งปี 62 ก็มีคนจำนวนหนึ่งหลงใหลได้ปลื้มว่า การเมืองไทยคงจะเข้าสู่ยุคใหม่ นำความเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ มาให้บ้านเมือง สิ่งไม่ดีทั้งหลายจะได้รับการแก้ไขในไม่ช้านี้ คนที่เป็นหัวขบวนของพรรคการเมืองพรรคนี้ ถึงกับเอาไปสร้างเป็นวาทกรรมปลุกระดมให้คนรุ่นใหม่ออกมาร่วมต่อสู้ว่า “ให้มันจบที่รุ่นเรา”
...แต่ว่าคนไทยส่วนใหญ่จะคิดแบบนี้หรือเปล่าหนอ ก็พบว่าล่าสุด ผลการทำวิจัยของ “ซูเปอร์โพล” ในหัวข้อ “การเมืองใหม่หรือเก่าสาดสี” สำรวจระหว่างวันที่ 1 มิ.ย.- 10 ต.ค. 63 ที่เปิดเผยออกมาเมื่อวานนี้ (11 ต.ค.) ปรากฏว่า เมื่อถามถึงการเมืองของพรรคการเมืองต่างๆ ในเวลานี้ เกือบจะทั้งหมด หรือร้อยละ 93.3 มองว่า ยังเป็น “การเมืองเก่า” ด้วยเหตุผลที่ว่า ยังมีการนำมวลชนลงถนน เคลื่อนไหวนอกสภา สนับสนุนกลุ่มจาบจ้วง ล่วงละเมิดสถาบัน เสาหลักของชาติ สาดสี เสียดสี พ่นสี จ้องโค่นล้มรัฐบาล ไม่สนใจว่าจะซ้ำเติมวิกฤตชาติ และทุกข์ยากของประชาชน... มีเพียงร้อยละ 6.7 ที่บอกว่าเป็น “การเมืองใหม่”เพราะ มีคนรุ่นใหม่ นโยบายใหม่ มาตรการใหม่ ใช้เทคโนโลยีโซเชียลมีเดีย ทำงานการเมือง เป็นต้น
ที่น่าพิจารณาก็คือ เมื่อเปรียบเทียบแนวโน้ม ตั้งแต่เดือน มิ.ย.ถึงต้น ต.ค. 63 ต่อพรรคการเมืองที่ตั้งใจจะเลือก ถ้าวันนี้มีการเลือกตั้ง พบว่า ในเดือน มิ.ย.พรรคอันดับหนึ่ง ได้แก่ พรรคก้าวไกล (อนาคตใหม่เดิม) ร้อยละ 11.7 และเพิ่มขึ้นอีกในเดือน ก.ค. มาอยู่ที่ร้อยละ 13.0 แต่ว่า นับตั้งแต่ต้นเดือนก.ย.ปลายเดือน ก.ย.จนถึงต้นเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา สัดส่วนของผู้ตั้งใจจะเลือกพรรคก้าวไกล ร่วงหล่นแบบสาละวันเตี้ยลงๆ ตามลำดับ จากร้อยละ 13.0 ในเดือน ก.ค.มาอยู่ที่ ร้อยละ 5.9 ในต้นเดือน ก.ย. ร้อยละ 2.4 ในปลายเดือน ก.ย. และ ร้อยละ 1.2 ในช่วงต้นเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา
ส่วนพรรคพลังประชารัฐ ที่ถือเป็นขั้วตรงข้าม ช่วงเดือน มิ.ย.อยู่ที่ร้อยละ 9.4 เดือน ก.ค.อยู่ที่ร้อยละ 10.9 ช่วงต้น ก.ย. (ช่วงถูกอภิปราย) กลับสูงขึ้นมาอยู่ที่ ร้อยละ 18.8 แต่ปลาย ก.ย.ตกหล่นมาอยู่ที่ ร้อยละ 4.9 แต่ต้น ต.ค.ขยับขึ้นมาอยู่ที่ ร้อยละ 6.1 ส่วนพรรคอื่นๆ ทั้งพรรคร่วมรัฐบาล และพรรคฝ่ายค้าน อื่นๆ สัดส่วนไม่แตกต่างกันนักในแต่ละช่วงเดือนที่ทำการสำรวจ

พิธา ลิ้มเจริญรัตน์
อย่างไรก็ตาม การมีพรรคการเมืองใหม่อย่างแท้จริง ยังเป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่โหยหา ต้องการ โดยพรรคการเมืองต้องไม่เป็นต้นตอของความขัดแย้งของคนในชาติ ไม่ล่วงละเมิดร่วมมือกับต่างชาติ สั่นคลอนสถาบัน เสาหลักของชาติ ซื่อสัตย์ ไม่แย่งตำแหน่ง ทรยศหักหลังกัน มีผลงานช่วยเหลือประชาชนได้จริง และอื่นๆ คือ สัดส่วนเดือน มิ.ย. อยู่ที่ร้อยละ 57.0 เดือน ก.ค. อยู่ที่ร้อยละ 59.6 ต้น ก.ย. อยู่ที่ร้อยละ 62.9 ปลาย ก.ย. พุ่งสูงขึ้นอยู่ที่ร้อยละ 84.0 และ ต้น ต.ค. อยู่ที่ร้อยละ 81.9

ผลสำรวจของซูเปอร์โพลรอบนี้ ยังทำให้พบความเป็นจริงของโลกโซเชียลฯ ว่า แท้ที่จริงแล้ว คนส่วนใหญ่ไม่ได้ใช้โซเชียลฯ ในการโพสต์ หรือแชร์เรื่องราวทางการเมืองมากนัก เหมือนที่บางพรรคพยายามเอากระแสในโซเชียลฯ มาเคลมว่าพรรคของตัวเองได้รับความนิยมในโลกของความเป็นจริง โดยผลสำรวจพบว่า ส่วนใหญ่ หรือร้อยละ 94.3 ไม่ได้ใช้ทวิตเตอร์ ในการทวีต หรือ รีทวีตเรื่องการเมืองเลย ในช่วง 30 วันที่ผ่านมา

นอกจากนี้ ยังพบว่าส่วนใหญ่ หรือร้อยละ 94.7 ไม่เคยใช้เฟซบุ๊กในการโพสต์ หรือแชร์เรื่องการเมืองเลย ในช่วง 30 วันที่ผ่านมา ส่วนอินสตาแกรม ยิ่งไม่ต้องพูดถึง เพราะคนส่วนใหญ่ หรือร้อยละ 98.0 ไม่เคยใช้อินสตาแกรมโพสต์เรื่องการเมืองเลย ในช่วง 30 วันที่ผ่านมา

ผศ.ดร.นพดล กรรณิกา ผอ.ซูเปอร์โพล ให้ความเห็นสำทับว่า ผลการศึกษาครั้งนี้ สะท้อนว่า คะแนนความนิยมของทุกพรรคการเมืองร่วงหล่นน่าจะเกิดจากต่างพรรคต่างมีเหตุปัจจัยที่แตกต่างกัน คือ พรรคก้าวไกล กับ พรรคเพื่อไทย อาจมีภาพของการเข้าร่วมสนับสนุนการชุมนุมของกลุ่มบุคคลที่ล่วงละเมิดจาบจ้วง สั่นคลอนเสาหลักขชาติ เป็นต้นตอแห่งความขัดแย้งรุนแรงบานปลายของคนในชาติ ร่วมมือกับต่างชาติ สั่นคลอนประเทศ ซ้ำเติมวิกฤตชาติ และทุกข์ยากของประชาชน

ส่วนที่พรรคพลังประชารัฐ คะแนนนิยมที่ตกลงในช่วงปลายเดือน ก.ย.- ต้น ต.ค.นั้น พบว่า มีสาเหตุจากปมแก้ไข รธน. และปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจขณะนี้ นอกจากนี้ ยังพบว่า ข้อมูลความเป็นจริงในโลกโซเชียลฯ น่าจะถูกพิสูจน์จากผลการศึกษาครั้งนี้ได้ว่า จำนวนคนที่ ทวีต รีทวีต โพสต์ แชร์ ในโซเชียลฯ ในเรื่องการเมืองเป็นคนไทยในประเทศไทย เพียงร้อยละ 5 เท่านั้น หรือประมาณการจากจำนวนคนไทย ที่ถูกศึกษาครั้งนี้ทั้งหมดประมาณ 2-3 ล้านคน กลุ่มเป้าหมาย 50 กว่าล้านคน และในจำนวนประมาณ 2-3 ล้านคน ที่ใช้โซเชียลฯ เรื่องการเมือง ก็มีการแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ สนับสนุนรัฐบาล ไม่สนับสนุนรัฐบาล และพลังเงียบ ไม่ใช่จะอยู่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งฝ่ายเดียว ดังนั้น จำเป็นต้องให้คนไทยทั้งประเทศรู้ความเป็นจริงในโลกโซเชียลฯ จริงๆ และต้องส่งสัญญาณไปยังกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมืองที่กำลังปั่นกระแสในโลกโซเชียลฯ ว่าหยุดหลอกตัวเอง และปั่นกระแสให้เกิดการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายสร้างความแตกแยกได้แล้ว ...

แล้วก็ยังเป็นการส่งสัญญาณเดือนไปถึง พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าคณะก้าวหน้า เจ้าของพรรคก้าวไกล ตัวจริงด้วยว่า ถ้ายังจะเข้าร่วมชุมนุมกับกลุ่ม “คณะราษฎร” ในวันที่ 14 ต.ค.ตามที่ประกาศไว้ ผลการสำรวจในรอบหน้า คะแนนนิยมของพรรค จากคนที่ไม่ใช่ “สาวกธนาธร” จะสาละวันเตี้ยลงจนอาจไม่เหลือสักคะแนนเดียวก็เป็นได้




กำลังโหลดความคิดเห็น