นายกฯ ควง 3 รมต.ทีม ศก.ยืนขนาบแถลงข่าวโชว์ปึ้ก ลั่นอย่าทำลายศักยภาพไทย รักษาบ้านเมืองให้สงบ เคารพ กม. ย้ำคนไทยต้องร่วมกันสร้างชาติ “สุพัฒนพงษ์” ชี้คนไทยมีส่วนร่วมฟื้นฟู ศก. สร้างความเชื่อมโยงตั้งเป้าไตรมาส 4 สร้างเม็ดเงิน 2 แสนล้าน
วันนี้ (12 ต.ค.) เมื่อเวลา 12.40 น. ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ในฐานะหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ได้นำทีมรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีเศรษฐกิจ ประกอบด้วย นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกฯ และ รมว.พลังงาน, นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง และนายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง ร่วมแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน โดยนายกฯ กล่าวว่า ให้รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีเศรษฐกิจยืนขนาบซ้ายขวากับหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ซึ่งเมื่อวันที่ 11 ต.ค.ที่ผ่านมาได้นำนายอาคมเข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณเรียบร้อยแล้ว เราได้รัฐมนตรีใหม่เข้ามาถือว่านายอาคมเป็นรัฐมนตรีหน้าใหม่ในวันนี้ และวันนี้ตนได้นำทีมเศรษฐกิจมาเพื่อสร้างความมั่นใจแก่ทุกท่าน ทั้งในส่วนสื่อสังคม ประชาชนโดยรวม ว่าเราจะทำงานอย่างเต็มที่จะแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจให้ได้อย่างระมัดระวังที่สุด มาตรการต่างๆ ที่ทำไปจะครอบคลุมทุกกลุ่ม โดยทีมโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีจะแถลงรายละเอียดให้ทราบ
นายกฯ กล่าวอีกว่า วันนี้ที่ประชุม ครม.ได้อนุมัติหลายเรื่องทางด้านเศรษฐกิจ และเรื่องสำคัญที่อยากจะแจ้งให้ทุกคนทราบในภารกิจที่มุ่งเน้นอย่างมากในช่วงเวลาที่ผ่านมา นั่นคือการดูแลบรรเทาปัญหาเศรษฐกิจ ปากท้อง ช่วยคนไทยหลายสิบล้านคนให้ผ่านพ้นช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ไปให้ได้ และในส่วนของคนไทยที่อยู่ในต่างประเทศก็ได้ทยอยเดินทางกลับมาจำนวนหลายแสนคนในขณะนี้ ตรงนี้เป็นการดำเนินการต่อเนื่อง ทั้งนี้ สิ่งที่รัฐบาลประชุมในศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 (ศบศ.) ได้มีการปรับปรุงมาตรการบรรเทาผลกระทบจากวิกฤตที่เกิดขึ้นทั่วโลก ปรับปรุงมาตรการต่างๆ ให้ดีขึ้น และมีมาตรการใหม่ๆ ออกมาเพิ่มเติม เราต้องทำหลายๆ อย่าง หลายมาตรการไปพร้อมกัน
“เป้าหมายหลัก คือ การช่วยคนที่มีรายได้น้อยให้พอมีเงินใช้จ่าย และช่วยให้คนที่มีรายได้มาก คนที่มีเงินแต่ไม่อยากใช้ได้ออกมาใช้เงินไปด้วย เพื่อดึงเงินเข้าหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ ซึ่งจะมีทั้งผู้ผลิต การแปรรูปตลาด ทุกคนต้องช่วยกัน อย่าไปรังเกียจรังงอนซึ่งกันและกัน ผมขอขอบคุณผ่านสื่อไปยังภาคเอกชน ไม่ว่าจะเป็นสมาคมภาคธุรกิจต่างๆ ที่เข้าร่วมเวิร์กชอปที่รัฐบาลหรือผมให้จัดตั้งขึ้น เพื่อนำเสนอความคิดเห็นให้ผมได้ทราบโดยตรงถึงความต้องการและปัญหาอุปสรรค ซึ่งในช่วงเดือนที่ผ่านมาหลายคนหลายภาคธุรกิจได้นำเสนอความคิดผ่านคณะกรรมการต่างๆ ถือว่ามีประโยชน์อย่างมากในการที่รัฐบาลจะนำมาวิเคราะห์หาวิธีดำเนินการให้เกิดผลสัมฤทธิ์ได้โดยเร็ว แต่ต้องช่วยกันเพื่อให้ตรงจุดตรงความต้องการ เหมือนกับมาตรการที่ภาครัฐ เอกชน ร่วมกัน โดยรัฐบาลจะดูแลเรื่องภาษีอะไรอย่างไร กระทรวงการคลังจะชี้แจงเพิ่มเติมต่อไป” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวอีกว่า สิ่งสำคัญที่สุดคือการที่เราใช้คำว่ารวมไทยสร้างชาติใช่หรือไม่ ทุกคนที่เป็นคนไทย ตนย้ำทุกคนที่เป็นคนไทยเกิดในแผ่นดินไทย จะต้องจับมือร่วมกันทุกภาคส่วน ช่วยกันคิดช่วยกันทำเพื่อจะช่วยกันนำพาประเทศไทยของเราก้าวไปข้างหน้า วันนี้ 3 มาตรการสำคัญที่จะกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศ โดยที่ประชุม ครม.ได้อนุมัติแล้ว ได้แก่ 1. มาตรการเติมเงินในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐให้ประชาชน 14 ล้านคน คนละ 1,500 บาท ตอนนี้อยู่ในขั้นตอนของการดำเนินการ 2. มาตรการคนละครึ่ง กระตุ้นค่าใช้จ่ายโดยประชาชนจ่ายครึ่งหนึ่งรัฐบาลช่วยออกอีกครึ่งหนึ่ง นี่คือผู้มีรายได้น้อย ร้านค้าปลีกแต่ต้องขึ้นทะเบียน จะเป็นการจ่ายเงินตรงด้วยระบบอีวอลเล็ต 3. มาตรการช้อปดีมีคืน ประชาชนสามารถนำค่าใช้จ่ายในการซื้อสินค้า 30,000 บาท ไปลดภาษีได้ แต่ถ้าขอ 50,000 บาทคงไม่ไหว เอา 30,000 บาทไปละกัน อันนี้จะให้ช่วยกันซื้อสินค้าคงทน อันแรกเป็นการซื้อสินค้าทั่วๆไป ซึ่งจะเห็นได้ว่าจะมีมาตรการเฉพาะกลุ่มออกมา และจะทยอยออกมาเรื่อยๆ
นายกฯ กล่าวอีกว่า ทั้ง 3 มาตรการดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อดึงเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ เมื่อมีการใช้จ่าย มีการผลิต มีการจ้างงาน สามารถดำรงชีพอยู่ได้ แต่ถ้าดำรงชีพด้วยการใช้จ่ายที่ไม่เกิดประโยชน์มันก็คือปัญหา หนี้ครัวเรือนก็เกิด ช่วงนี้ต้องใช้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ขอฝากไว้ด้วย ทั้งนี้ เพื่อให้คนซื้อมีเงินซื้อสินค้า ผู้บริการสินค้า ผู้ผลิตสามารถขายของได้ เกิดการซื้อขายกระจายเงินสร้างรายได้ทั้งระบบ ไม่ใช่ดูเฉพาะส่วนมันเป็นไปไม่ได้ รัฐบาลต้องมองทั้งระบบ ฉะนั้น เราต้องทำหลายมาตรการไปพร้อมๆ กัน และทยอยออกมาอย่างต่อเนื่องเพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องคนไทยให้ได้ วันนี้ตนได้ติดตามจากประเทศอียู ประเทศตะวันตก สหรัฐอเมริกา จีน และนำมาเปรียบเทียบของเราซึ่งมีหลายส่วนที่เหมือนกัน เพียงแต่เขาเป็นประเทศใหญ่เงินมากกว่าเรา ซึ่งของเราต้องให้เหมาะสมกับงบประมาณที่มีอยู่ โดยรองนายกฯ และ รมว.คลังดูตรงนี้อยู่แล้ว
“วันนี้ทุกประเทศกำลังเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจ หลายประเทศแย่กว่าเรา เรายังมีศักยภาพอยู่ ฉะนั้นอย่าทำลายศักยภาพของเราเองด้วยเรื่องที่ไม่ควรจะทำ ความเชื่อมั่นต่างๆ มันหายไปแล้วจะทำอย่างไร จะเอาอะไรกลับคืนมา มันเอากลับมาไม่ได้แล้วถ้ามันเสียหายตอนนี้ เพราะช่วงนี้เป็นช่วงของการแข่งขัน เป็นช่วงของการแก้ปัญหาโควิด-19 เป็นช่วงการดำเนินการหลังโรคโควิด-19 ถ้าทำลายกันตอนนี้ถึงเวลาจะฟื้นกลับมาไม่ได้เลย เพราะเราจะไม่ทันเขาแน่นอน ขอฝากถึงพี่น้องประชาชนทุกคนด้วย ขอให้รักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองให้มากที่สุด ช่วยกันเคารพกฎหมายเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบกับคนอื่นแค่นั้นเอง อันนี้เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ดำเนินการอยู่แล้ว ผมคงไม่ต้องสั่งอะไรเพิ่มเติม ขอบคุณครับ มีอะไรให้ซักถามทีมเศรษฐกิจ” นายกฯ กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้การแถลงข่าวของนายกรัฐมนตรีไม่ตอบคำถามสื่อในทุกประเด็นทั้งการเมืองและอื่นๆ ที่สื่อส่งตามปกติในวันประชุม ครม. อีกทั้งไม่เปิดให้สื่อซักถามใดๆ หลังการแถลงเสร็จ โดยนายกฯ เดินออกจากโพเดี้ยมด้วยสีหน้าเคร่งครึมและทำมือส่งสัญญาณไม่ตอบ
จากนั้น นายสุพัฒนพงษ์กล่าวว่า วันนี้มีนายอาคมมาเติมเต็ม หลายท่านที่มีความห่วงกังวลในเรื่องของการดำเนินการตามแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจที่นายกฯ นำเรียนสื่อมวลชนไปแล้ว วันนี้ปลอดความกังวลในเรื่องนี้ไปได้เลย การดำเนินการตามมาตรการอย่างนี้จะเป็นไปอย่างราบรื่นและเป็นไปตามเป้าหมาย และไม่ใช่เพียงแค่ 3 คนที่เกี่ยวข้องทางเศรษฐกิจเท่านั้น โดยนายกฯ ได้กำชับในที่ประชุม ครม.ให้ช่วยกันสนับสนุนมาตราต่างๆ ในการฟื้นฟูเศรษฐกิจให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายและให้มีประโยชน์เต็มที่ในทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นมาตรการคนละครึ่งที่จะต้องมีการกระจายไปให้ทั่วภูมิภาคประเทศไทย ในโครงการช้อปดีมีคืน ที่สามารถคำค่าใช้จ่ายไปลดภาษีได้ ก็ขอให้กระจายตัวให้ทั่วถึงเพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ ฉะนั้น สื่อมวลชนก็จะเห็นภาพที่จะเชื่อมโยงและต่อเนื่องกันไปในไตรมาส 4 นี้ โดยเม็ดเงินที่จะเข้าสู่เศรษฐกิจประมาณ 2 แสนล้านบาท เป็นงบประมาณของรัฐ 6 หมื่นกว่าล้านบาท ส่วนที่เหลือก็เป็นเหลือจะเป็นในส่วนของรวมไทยสร้างชาติ ประชาชนคนไทยทุกคนมีส่วนร่วมกับรัฐบาลในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ นำประเทศไทยให้กลับมาแข็งแรงมากที่สุดเท่าที่จะมากได้ในปีนี้
นายสุพัฒนพงษ์กล่าวตอนท้ายว่า วันนี้มาครบทั้งตน นายอาคม และนายสันติ เราจะมาช่วยกัน ส่วนของตนนอกจากดูเรื่องกระตุ้นเศรษฐกิจแล้วก็ต้องดูเรื่องการเจริญเติบโตอื่นๆ ในเรื่องของสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติด้วย ซึ่ง รมว.คลังจะมาเสริมตนในเรื่องของการหามาตรการดีๆ เข้ามาเสริมในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ มาตรการต่างๆ ที่จะมาช่วยกัน และกำลังสำคัญคือ ศบศ.ในส่วนของ รมช.คลัง จะมาสนับสนุน รมว.คลังในการช่วยกันดูแลเสถียรภาพความมั่นคงทางด้านการคลังของประเทศ เรามีวินัยการคลังที่จะต้องดูแลให้ดีที่สุด เพื่อวันที่โควิด-19 จบสิ้นหรือการควบคุมการแพร่ระบาดได้ดีแล้ว ประเทศไทยจะมีความเข้มแข็งและแข็งแกร่ง ทางการเงิน ที่จะเดินหน้าเติบโตต่อไปได้ นั่นคือวิถีของการทำงานตามนโยบายของนายกฯ ที่กล่าวถึง รวมไทยสร้างชาติ