ผู้จัดการรายวัน360-“บิ๊กตู่”ควง 3 รัฐมนตรีทีมเศรษฐกิจยืนขนาบข้าง แถลงข่าวโชว์ความปึ้ก สร้างความเชื่อมั่นฟื้นฟูเศรษฐกิจ เผย ครม.อนุมัติ 3 มาตรการหลัก “เติมเงินบัตรคนจน-คนละครึ่ง-ช้อปดีมีคืน” พร้อมขออย่าทำลายศักยภาพไทย รักษาบ้านเมืองให้สงบ “สุพัฒนพงษ์”ชี้ไตรมาส 4 มีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ 2 แสนล้าน “อาคม”ลั่นไม่กลัวการเมือง ยันมาทำงาน ระบุเฉพาะช้อปดีมีคืน ดันจีดีพีเพิ่ม 0.30% ส่วน “เราเที่ยวด้วยกัน” ยืดถึง 31 ม.ค.64 เปิดให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขกว่า 3,000 คนเข้าร่วมได้ นายกฯ นำครม.สัญจรภูเก็ต 2-3 พ.ย.นี้ เน้นฟื้นท่องเที่ยว กระตุ้นเศรษฐกิจ
วานนี้ (12 ต.ค.) ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ในฐานะหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ได้นำทีมงาน ประกอบด้วยนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน , นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง และนายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง ร่วมแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ให้รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีเศรษฐกิจ ยืนขนาบซ้ายขวากับหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ซึ่งเมื่อวันที่ 11 ต.ค.ที่ผ่านมา ได้นำนายอาคมเข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณเรียบร้อยแล้ว ถือว่านายอาคมเป็นรัฐมนตรีหน้าใหม่ และตนได้นำทีมเศรษฐกิจมาเพื่อสร้างความมั่นใจแก่ทุกท่าน ทั้งในส่วนสื่อ สังคม ประชาชนโดยรวมว่าเราจะทำงานอย่างเต็มที่จะแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจให้ได้อย่างระมัดระวังที่สุด มาตรการต่างๆ ที่ทำไปจะครอบคลุมทุกกลุ่ม
จากนั้น นายกฯ ได้แจ้งว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้อนุมัติหลายเรื่องทางเศรษฐกิจ เพื่อช่วยดูแลปัญหาเศรษฐกิจ ปากท้อง ช่วยคนไทยหลาย 10 ล้านคนให้ผ่านพ้นช่วงเวลาที่ยากลำบาก ช่วยผู้มีรายได้น้อยให้มีเงินใช้จ่าย ช่วยให้คนที่มีรายได้มาก แต่ไม่อยากใช้ ให้ออกมาใช้เงิน เพื่อดึงเงินเข้าหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ
สำหรับมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศ ที่ ครม. ได้อนุมัติ ได้แก่ 1.มาตรการเติมเงินในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐให้ประชาชน 14 ล้านคน คนละ 1,500 บาท ตอนนี้อยู่ในขั้นตอนของการดำเนินการ 2.มาตรการคนละครึ่ง กระตุ้นค่าใช้จ่าย โดยประชาชนจ่ายครึ่งหนึ่ง รัฐบาลช่วยออกอีกครึ่งหนึ่ง นี่คือผู้มีรายได้น้อย ร้านค้าปลีก แต่ต้องขึ้นทะเบียน จะเป็นการจ่ายเงินตรงด้วยระบบอีวอลเล็ต 3.มาตรการช้อปดีมีคืน ประชาชนสามารถนำค่าใช้จ่ายในการซื้อสินค้า 30,000 บาท ไปลดภาษีได้ แต่ถ้าขอ 50,000 บาทคงไม่ไหว เอา 30,000 บาทไปละกัน อันนี้จะให้ช่วยกันซื้อสินค้าคงทน อันแรกเป็นการซื้อสินค้าทั่วๆ ไป ซึ่งจะเห็นได้ว่าจะมีมาตรการเฉพาะกลุ่มออกมา และจะทยอยออกมาเรื่อยๆ
นอกจากนี้ นายกฯ ยังได้ย้ำว่า วันนี้ทุกประเทศกำลังเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจ หลายประเทศแย่กว่าเรา เรายังมีศักยภาพอยู่ ฉะนั้นอย่าทำลายศักยภาพของเราเองด้วยเรื่องที่ไม่ควรจะทำ ขอฝากถึงพี่น้องประชาชนทุกคนด้วย ขอให้รักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองให้มากที่สุด ช่วยกันเคารพกฎหมายเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบกับคนอื่นแค่นั้นเอง อันนี้เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ดำเนินการอยู่แล้ว ผมคงไม่ต้องสั่งอะไรเพิ่มเติม ขอบคุณครับ มีอะไรให้ซักถามทีมเศรษฐกิจ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การแถลงข่าวของนายกรัฐมนตรี ไม่ตอบคำถามสื่อในทุกประเด็น ทั้งการเมืองและอื่นๆ ที่สื่อส่งตามปกติในวันประชุม ครม. อีกทั้งไม่เปิดให้สื่อซักถามใดๆ และหลังการแถลงเสร็จ นายกฯ ได้เดินออกจากโพเดี้ยมด้วยสีหน้าเคร่งครึมและทำมือส่งสัญญาณไม่ตอบ
จากนั้น นายสุพัฒนพงษ์กล่าวว่า วันนี้มีนายอาคมมาเติมเต็ม หลายท่านที่มีความห่วงกังวลในเรื่องของการดำเนินการตามแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจที่นายกฯ นำเรียนสื่อมวลชนไปแล้ว วันนี้ปลอดความกังวลในเรื่องนี้ไปได้เลย การดำเนินการตามมาตรการอย่างนี้จะเป็นไปอย่างราบรื่นและเป็นไปตามเป้าหมาย และไม่ใช่เพียงแค่ 3 คนที่เกี่ยวข้องทางเศรษฐกิจเท่านั้น โดยนายกฯ ได้กำชับในที่ประชุม ครม. ให้ช่วยกันสนับสนุนมาตรการต่างๆ ในการฟื้นฟูเศรษฐกิจให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายและให้มีประโยชน์เต็มที่ในทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นมาตรการคนละครึ่งที่จะต้องมีการกระจายไปให้ทั่วภูมิภาคประเทศไทย ในโครงการช้อปดีมีคืน ที่สามารถนำค่าใช้จ่ายไปลดภาษีได้ ก็ขอให้กระจายตัวให้ทั่วถึง เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ
“จะเห็นภาพที่จะเชื่อมโยงและต่อเนื่องกันไปในไตรมาส 4 นี้ โดยเม็ดเงินที่จะเข้าสู่เศรษฐกิจประมาณ 2 แสนล้านบาท เป็นงบประมาณของรัฐ 6 หมื่นกว่าล้านบาท ส่วนที่เหลือก็จะเป็นในส่วนของรวมไทยสร้างชาติ ประชาชนคนไทยทุกคนมีส่วนร่วมกับรัฐบาลในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ นำประเทศไทยให้กลับมาแข็งแรงมากที่สุดเท่าที่จะมากได้ในปีนี้”
นายสุพัฒนพงษ์กล่าวอีกว่า วันนี้มาครบทั้งตน นายอาคม และนายสันติ เราจะมาช่วยกัน ส่วนของตนนอกจากดูเรื่องกระตุ้นเศรษฐกิจแล้ว ก็ต้องดูเรื่องการเจริญเติบโตอื่นๆ ในเรื่องของสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติด้วย ซึ่ง รมว.คลังจะมาเสริมตนในเรื่องของการหามาตรการดีๆ เข้ามาเสริมในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ มาตรการต่างๆ ที่จะมาช่วยกัน และกำลังสำคัญ คือ ศบศ. ในส่วนของ รมช.คลัง จะมาสนับสนุน รมว.คลังในการช่วยกันดูแลเสถียรภาพความมั่นคงทางด้านการคลังของประเทศ เรามีวินัยการคลังที่จะต้องดูแลให้ดีที่สุด เพื่อวันที่โควิด-19 จบสิ้นหรือการควบคุมการแพร่ระบาดได้ดีแล้ว ประเทศไทยจะมีความเข้มแข็งและแข็งแกร่งทางการเงิน ที่จะเดินหน้าเติบโตต่อไปได้ นั่นคือวิถีของการทำงานตามนโยบายของนายกฯ ที่กล่าวถึง รวมไทยสร้างชาติ
ด้านนายอาคม กล่าวก่อนการเข้าประชุม ครม. เป็นครั้งแรก ว่า ไม่ห่วงเรื่องการเมืองแทรกแซง โดยจะเน้นการทำงานมากกว่า ผมทำงานครับ เรายึดงานเป็นหลัก
ทั้งนี้ ในการทำงานจะเน้นดูแลเศรษฐกิจระยะเร่งด่วน 4 ด้าน คือ 1.การฟื้นฟูสภาพคล่องให้กับภาคธุรกิจ ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 เพราะเศรษฐกิจของภาคเอกชนและภาคประชาชน คิดเป็น 70% ของจีดีพี อีก 20% เป็นส่วนของรัฐ 2.การฟื้นฟูกำลังซื้อภายในประเทศ แม้จะคลายล็อกดาวน์แล้ว แต่กำลังซื้อภายในประเทศยังไม่ฟื้นตัวขึ้นมากนัก 3.การฟื้นฟูภาคท่องเที่ยว ที่ต้องดูทั้งระบบ ทั้งนักท่องเที่ยว แหล่งท่องเที่ยว และสายการบิน และ 4.การเร่งรัดการใช้จ่ายภาครัฐ ที่มีสัดส่วน 20% ของจีดีพี ทั้งการเบิกจ่ายงบประมาณ และผลักดันงบล้างท่อต่างๆ เพื่อให้เม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ
ขณะเดียวกัน จะเร่งรัดการใช้งบฟื้นฟูเศรษฐกิจ 4 แสนล้านบาท ซึ่งที่ผ่านมา มีเสียงบ่นว่าออกมาช้า ต้องดูว่าจะแก้ไขอย่างไร ส่วนมาตรการพักหนี้ที่จะหมดวันที่ 22 ต.ค.2563 มีการหารือกันอยู่ โดย ศบศ. ได้มอบให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ไปดูแล ต้องรอผลก่อน
นายสันติ กล่าวว่า ยังไม่ได้หารือกับนายอาคม เรื่องการแบ่งงาน แต่ยืนยันว่าสามารถทำงานร่วมกันได้ ที่ผ่านมา ไม่เคยขัดแย้งกับใคร มีแต่ข่าว ส่วนเรื่องการแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน ที่บริหารเงินนอกงบประมาณกว่า 4 ล้านล้านบาท และการเสนอชื่อผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) คนใหม่ ให้ ครม. พิจารณานั้น ไม่เป็นความจริง ไม่ได้มีการส่งหนังสือใดๆ ให้สำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี
นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุม ครม. ว่า มาตรการช้อปดีมีคืน จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 23 ต.ค.-31 ธ.ค.2563 คาดว่าจะมีผู้ใช้สิทธิ์ 3.7 ล้านคนจากฐานผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา รัฐจะสูญเสียรายได้ภาษีประมาณ 14,000 ล้านบาท แต่จะทำให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจประมาณ 111,000 ล้านบาท ช่วยเพิ่มจีดีพีประมาณ 0.30%
นอกจากนี้ ครม. ได้เห็นชอบปรับปรุง “โครงการกำลังใจ และโครงการเราเที่ยวด้วยกัน” เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว โดยขยายระยะเวลาถึง 31 ม.ค.2564 และเปิดให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขกว่า 3,000 คน เข้าร่วมได้ และยังใช้บริการโรงแรม ซื้อสินค้าในจังหวัดภูมิลำเนาได้
น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า วันที่ 2-3 พ.ย.2563 นายกฯ ได้สั่งการให้จัดประชุม ครม.สัญจร และตรวจราชการ โดยจะลงพื้นที่ตรวจความพร้อมนโยบายเปิดรับนักท่องเที่ยวประเภทพิเศษ และพำนักระยะยาว ที่ อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี และภูเก็ต ตรวจราชการเน้นพัฒนาการท่องเที่ยว การเกษตร ประมง และปศุสัตว์ ที่ จ.กระบี่ ตรัง พังงา ภูเก็ต ระนอง และสตูล และมอบรองนายกฯ และรัฐมนตรี ลงพื้นที่ติดตามการดำเนินนโยบายรัฐบาล รับฟังความเห็น รวมทั้งให้มีการติดตามสถานการณ์และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากวิกฤตโควิด-19 ด้วย
วานนี้ (12 ต.ค.) ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ในฐานะหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ได้นำทีมงาน ประกอบด้วยนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน , นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง และนายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง ร่วมแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ให้รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีเศรษฐกิจ ยืนขนาบซ้ายขวากับหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ซึ่งเมื่อวันที่ 11 ต.ค.ที่ผ่านมา ได้นำนายอาคมเข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณเรียบร้อยแล้ว ถือว่านายอาคมเป็นรัฐมนตรีหน้าใหม่ และตนได้นำทีมเศรษฐกิจมาเพื่อสร้างความมั่นใจแก่ทุกท่าน ทั้งในส่วนสื่อ สังคม ประชาชนโดยรวมว่าเราจะทำงานอย่างเต็มที่จะแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจให้ได้อย่างระมัดระวังที่สุด มาตรการต่างๆ ที่ทำไปจะครอบคลุมทุกกลุ่ม
จากนั้น นายกฯ ได้แจ้งว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้อนุมัติหลายเรื่องทางเศรษฐกิจ เพื่อช่วยดูแลปัญหาเศรษฐกิจ ปากท้อง ช่วยคนไทยหลาย 10 ล้านคนให้ผ่านพ้นช่วงเวลาที่ยากลำบาก ช่วยผู้มีรายได้น้อยให้มีเงินใช้จ่าย ช่วยให้คนที่มีรายได้มาก แต่ไม่อยากใช้ ให้ออกมาใช้เงิน เพื่อดึงเงินเข้าหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ
สำหรับมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศ ที่ ครม. ได้อนุมัติ ได้แก่ 1.มาตรการเติมเงินในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐให้ประชาชน 14 ล้านคน คนละ 1,500 บาท ตอนนี้อยู่ในขั้นตอนของการดำเนินการ 2.มาตรการคนละครึ่ง กระตุ้นค่าใช้จ่าย โดยประชาชนจ่ายครึ่งหนึ่ง รัฐบาลช่วยออกอีกครึ่งหนึ่ง นี่คือผู้มีรายได้น้อย ร้านค้าปลีก แต่ต้องขึ้นทะเบียน จะเป็นการจ่ายเงินตรงด้วยระบบอีวอลเล็ต 3.มาตรการช้อปดีมีคืน ประชาชนสามารถนำค่าใช้จ่ายในการซื้อสินค้า 30,000 บาท ไปลดภาษีได้ แต่ถ้าขอ 50,000 บาทคงไม่ไหว เอา 30,000 บาทไปละกัน อันนี้จะให้ช่วยกันซื้อสินค้าคงทน อันแรกเป็นการซื้อสินค้าทั่วๆ ไป ซึ่งจะเห็นได้ว่าจะมีมาตรการเฉพาะกลุ่มออกมา และจะทยอยออกมาเรื่อยๆ
นอกจากนี้ นายกฯ ยังได้ย้ำว่า วันนี้ทุกประเทศกำลังเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจ หลายประเทศแย่กว่าเรา เรายังมีศักยภาพอยู่ ฉะนั้นอย่าทำลายศักยภาพของเราเองด้วยเรื่องที่ไม่ควรจะทำ ขอฝากถึงพี่น้องประชาชนทุกคนด้วย ขอให้รักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองให้มากที่สุด ช่วยกันเคารพกฎหมายเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบกับคนอื่นแค่นั้นเอง อันนี้เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ดำเนินการอยู่แล้ว ผมคงไม่ต้องสั่งอะไรเพิ่มเติม ขอบคุณครับ มีอะไรให้ซักถามทีมเศรษฐกิจ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การแถลงข่าวของนายกรัฐมนตรี ไม่ตอบคำถามสื่อในทุกประเด็น ทั้งการเมืองและอื่นๆ ที่สื่อส่งตามปกติในวันประชุม ครม. อีกทั้งไม่เปิดให้สื่อซักถามใดๆ และหลังการแถลงเสร็จ นายกฯ ได้เดินออกจากโพเดี้ยมด้วยสีหน้าเคร่งครึมและทำมือส่งสัญญาณไม่ตอบ
จากนั้น นายสุพัฒนพงษ์กล่าวว่า วันนี้มีนายอาคมมาเติมเต็ม หลายท่านที่มีความห่วงกังวลในเรื่องของการดำเนินการตามแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจที่นายกฯ นำเรียนสื่อมวลชนไปแล้ว วันนี้ปลอดความกังวลในเรื่องนี้ไปได้เลย การดำเนินการตามมาตรการอย่างนี้จะเป็นไปอย่างราบรื่นและเป็นไปตามเป้าหมาย และไม่ใช่เพียงแค่ 3 คนที่เกี่ยวข้องทางเศรษฐกิจเท่านั้น โดยนายกฯ ได้กำชับในที่ประชุม ครม. ให้ช่วยกันสนับสนุนมาตรการต่างๆ ในการฟื้นฟูเศรษฐกิจให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายและให้มีประโยชน์เต็มที่ในทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นมาตรการคนละครึ่งที่จะต้องมีการกระจายไปให้ทั่วภูมิภาคประเทศไทย ในโครงการช้อปดีมีคืน ที่สามารถนำค่าใช้จ่ายไปลดภาษีได้ ก็ขอให้กระจายตัวให้ทั่วถึง เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ
“จะเห็นภาพที่จะเชื่อมโยงและต่อเนื่องกันไปในไตรมาส 4 นี้ โดยเม็ดเงินที่จะเข้าสู่เศรษฐกิจประมาณ 2 แสนล้านบาท เป็นงบประมาณของรัฐ 6 หมื่นกว่าล้านบาท ส่วนที่เหลือก็จะเป็นในส่วนของรวมไทยสร้างชาติ ประชาชนคนไทยทุกคนมีส่วนร่วมกับรัฐบาลในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ นำประเทศไทยให้กลับมาแข็งแรงมากที่สุดเท่าที่จะมากได้ในปีนี้”
นายสุพัฒนพงษ์กล่าวอีกว่า วันนี้มาครบทั้งตน นายอาคม และนายสันติ เราจะมาช่วยกัน ส่วนของตนนอกจากดูเรื่องกระตุ้นเศรษฐกิจแล้ว ก็ต้องดูเรื่องการเจริญเติบโตอื่นๆ ในเรื่องของสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติด้วย ซึ่ง รมว.คลังจะมาเสริมตนในเรื่องของการหามาตรการดีๆ เข้ามาเสริมในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ มาตรการต่างๆ ที่จะมาช่วยกัน และกำลังสำคัญ คือ ศบศ. ในส่วนของ รมช.คลัง จะมาสนับสนุน รมว.คลังในการช่วยกันดูแลเสถียรภาพความมั่นคงทางด้านการคลังของประเทศ เรามีวินัยการคลังที่จะต้องดูแลให้ดีที่สุด เพื่อวันที่โควิด-19 จบสิ้นหรือการควบคุมการแพร่ระบาดได้ดีแล้ว ประเทศไทยจะมีความเข้มแข็งและแข็งแกร่งทางการเงิน ที่จะเดินหน้าเติบโตต่อไปได้ นั่นคือวิถีของการทำงานตามนโยบายของนายกฯ ที่กล่าวถึง รวมไทยสร้างชาติ
ด้านนายอาคม กล่าวก่อนการเข้าประชุม ครม. เป็นครั้งแรก ว่า ไม่ห่วงเรื่องการเมืองแทรกแซง โดยจะเน้นการทำงานมากกว่า ผมทำงานครับ เรายึดงานเป็นหลัก
ทั้งนี้ ในการทำงานจะเน้นดูแลเศรษฐกิจระยะเร่งด่วน 4 ด้าน คือ 1.การฟื้นฟูสภาพคล่องให้กับภาคธุรกิจ ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 เพราะเศรษฐกิจของภาคเอกชนและภาคประชาชน คิดเป็น 70% ของจีดีพี อีก 20% เป็นส่วนของรัฐ 2.การฟื้นฟูกำลังซื้อภายในประเทศ แม้จะคลายล็อกดาวน์แล้ว แต่กำลังซื้อภายในประเทศยังไม่ฟื้นตัวขึ้นมากนัก 3.การฟื้นฟูภาคท่องเที่ยว ที่ต้องดูทั้งระบบ ทั้งนักท่องเที่ยว แหล่งท่องเที่ยว และสายการบิน และ 4.การเร่งรัดการใช้จ่ายภาครัฐ ที่มีสัดส่วน 20% ของจีดีพี ทั้งการเบิกจ่ายงบประมาณ และผลักดันงบล้างท่อต่างๆ เพื่อให้เม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ
ขณะเดียวกัน จะเร่งรัดการใช้งบฟื้นฟูเศรษฐกิจ 4 แสนล้านบาท ซึ่งที่ผ่านมา มีเสียงบ่นว่าออกมาช้า ต้องดูว่าจะแก้ไขอย่างไร ส่วนมาตรการพักหนี้ที่จะหมดวันที่ 22 ต.ค.2563 มีการหารือกันอยู่ โดย ศบศ. ได้มอบให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ไปดูแล ต้องรอผลก่อน
นายสันติ กล่าวว่า ยังไม่ได้หารือกับนายอาคม เรื่องการแบ่งงาน แต่ยืนยันว่าสามารถทำงานร่วมกันได้ ที่ผ่านมา ไม่เคยขัดแย้งกับใคร มีแต่ข่าว ส่วนเรื่องการแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน ที่บริหารเงินนอกงบประมาณกว่า 4 ล้านล้านบาท และการเสนอชื่อผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) คนใหม่ ให้ ครม. พิจารณานั้น ไม่เป็นความจริง ไม่ได้มีการส่งหนังสือใดๆ ให้สำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี
นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุม ครม. ว่า มาตรการช้อปดีมีคืน จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 23 ต.ค.-31 ธ.ค.2563 คาดว่าจะมีผู้ใช้สิทธิ์ 3.7 ล้านคนจากฐานผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา รัฐจะสูญเสียรายได้ภาษีประมาณ 14,000 ล้านบาท แต่จะทำให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจประมาณ 111,000 ล้านบาท ช่วยเพิ่มจีดีพีประมาณ 0.30%
นอกจากนี้ ครม. ได้เห็นชอบปรับปรุง “โครงการกำลังใจ และโครงการเราเที่ยวด้วยกัน” เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว โดยขยายระยะเวลาถึง 31 ม.ค.2564 และเปิดให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขกว่า 3,000 คน เข้าร่วมได้ และยังใช้บริการโรงแรม ซื้อสินค้าในจังหวัดภูมิลำเนาได้
น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า วันที่ 2-3 พ.ย.2563 นายกฯ ได้สั่งการให้จัดประชุม ครม.สัญจร และตรวจราชการ โดยจะลงพื้นที่ตรวจความพร้อมนโยบายเปิดรับนักท่องเที่ยวประเภทพิเศษ และพำนักระยะยาว ที่ อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี และภูเก็ต ตรวจราชการเน้นพัฒนาการท่องเที่ยว การเกษตร ประมง และปศุสัตว์ ที่ จ.กระบี่ ตรัง พังงา ภูเก็ต ระนอง และสตูล และมอบรองนายกฯ และรัฐมนตรี ลงพื้นที่ติดตามการดำเนินนโยบายรัฐบาล รับฟังความเห็น รวมทั้งให้มีการติดตามสถานการณ์และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากวิกฤตโควิด-19 ด้วย