สวัสดีครับทุกท่าน นับเป็นระยะเวลากว่า 6 ทศวรรษแล้ว ที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ได้พระราชทาน บทเพลงพระราชนิพน์พรปีใหม่ ด้วยทรงมุ่งหวัง เพื่ออำนวยพรให้พสกนิกรของพระองค์มีความสุข และเป็นระยะเวลาเกือบ 3 ทศวรรษแล้ว ที่พระองค์ได้พระราชทาน ส.ค.ส.ให้ปวงชนชาวไทยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งนอกจากมีพระราชประสงค์ที่จะส่งความสุขในช่วงปีใหม่ และตลอดศกใหม่แล้ว ยังทรงให้สติ ให้ปัญญา ให้ข้อคิด และแนวทางในการดำรงชีวิต รวมทั้งให้กำลังใจต่อสู้ เพื่อเอาชนะต่ออุปสรรค นานัปการอีกด้วย
ในโอกาสนี้ ผมขออัญเชิญพรอันประเสริฐเหล่านั้น มาเพื่อเป็นสิริมงคลในชีวิต แด่พี่น้องประชาชนชาวไทยอีกครั้ง อันประกอบด้วยคุณธรรมที่สำคัญ อาทิเช่น ความซื่อสัตย์ คิดดี ทำดี เพื่อส่วนรวม ความขยันอดทน และมีความเพียรอันบริสุทธิ์ การอดออม ประหยัด มัธยัสถ์ และมีความพอเพียง การแสวงหาความรู้ การใช้ปัญญาในการแก้ปัญหา และการฝึกฝนเพื่อพัฒนาตนเอง ความมีสติ รู้คิด และไม่ประมาท รวมทั้งความรู้รักสามัคคี และการทำงานเป็นทีมเป็นต้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะนำพาชีวิตของเรา และประเทศชาติ มีแต่ความสุขความเจริญ และหากคนไทยทุกคน มีแต่ความยินดี และความปรารถนาดี มอบให้แก่กันแล้ว เราทุกคนจะมีชีวิตที่ปราศจากทุกข์ทั้งปวง อันเป็นสัจธรรม ความจริง ของโลกที่ผมอยากให้ทุกคนได้ตระหนัก เพื่อการครองชีวิตตามครรลองที่ถูกต้องเหมาะสมอยู่เสมอด้วยนะครับ
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงใส่พระทัยทุกข์สุขของปวงชนชาวไทย โดยทรงมีกระแสพระราชดำรัส ให้น้อมนำศาสตร์พระราชาแห่งองค์สมเด็จพระบรมชนกนาถ และแนวทางพระราชทาน ตลอดระยะเวลา 7 ทศวรรษที่ผ่านมา ไปประยุกต์ใช้ด้วยปัญญาและความเพียร สำหรับรัฐบาลและข้าราชการในการบริหารราชการแผ่นดิน และสำหรับประชาชนทุกคนในการดำรงชีวิตประจำวัน
ในการนี้ผมขออัญเชิญ ส.ค.ส.พระราชทาน ปีใหม่ พ.ศ. 2537 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของศาสตร์พระราชา โดยมีสาระสำคัญที่แสดงสัจธรรมแห่งชีวิตคือ ยิ้มบ้าง ไม่ยิ้มบ้าง สุขบ้าง ทุกข์บ้าง เหมือนจราจรมาจากคำว่าจรแปลว่า แล่น อะจร แปลว่า ไม่แล่น ดังนั้นเมื่อสนธิเป็นคำใหม่ว่าจราจร จึงหมายถึงแล่นบ้างไม่แล่นบ้าง ให้ใจเย็นต้องอดทนรักษาความเพียรรักษาความดี เพราะอุปสรรคเป็นเครื่องทดสอบคนดี ที่จะไม่ยอมให้ความทุกข์ความลำบากชักนำสู่หนทางเสื่อม ทั้งนี้ ผมหวังว่าสัจธรรมง่ายๆ นี้ จะเป็นกำลังใจให้กับทุกคนที่ยึดมั่นในความดี และไม่อยากให้ท้อถอยหมดกำลังใจตลอดปีใหม่ และตลอดไปนะครับ
พี่น้องประชาชนทุกท่านครับ ในการเดินหน้าประเทศที่ผ่านมานั้นปีหน้าและปีต่อไปนั้น เรามีความจำเป็นต้องกลับมาสำรวจตัวเองอยู่เสมอ เพื่อพัฒนาไปสู่แนวทางที่ดีกว่า เพื่อลดช่องว่าง และแก้ไขบกพร่องในอดีต ไม่ให้เกิดขึ้นซ้ำซากอีกต่อไป รัฐบาลเองมีการสำรวจ และปรับปรุงกระบวนการ และกลไกการบริหารราชการเป็นระยะๆ เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม แม้ภาครัฐจะใช้ความพยายามมากมายเพียงใด หากไม่ได้รับความร่วมมือจากภาคประชาชน ภาคธุรกิจเอกชน ภาคประชาสังคม และภาควิชาการแล้ว การก้าวไปสู่ความมั่นคงมั่งคั่งอย่างยั่งยืนของเราทุกคน ทุกฝ่ายไม่อาจประสบความสำเร็จได้ รัฐบาลนี้ได้ริเริ่มกลไกประชารัฐ เพื่อสานพลังทุกภาคส่วนเหล่านั้นเข้าด้วยกันเชื่อมโยงกันเกื้อกูลกัน เกิดเป็นห่วงโซ่ที่ไม่อาจแยกคิดแยกทำได้อีกต่อไป ทั้งนี้ห่วงโซ่ทุกห่วงต้องเข้มแข็งไปด้วยกัน เพราะเราวัดความแข็งแรงของโซ่ ณ จุดที่อ่อนแอที่สุด จึงเป็นที่มาของวลีที่ว่าเราไม่สามารถทิ้งใครไว้ข้างหลัง แต่เราต้องพัฒนาซึ่งกันและกัน และพัฒนาเคียงบ่าเคียงไหล่ไปพร้อมๆ กัน สิ่งหนึ่งที่ยังคงเป็นอุปสรรค และผมเห็นว่าเป็นจุดอ่อนของประเทศไทย อาจจะเกิดจากคนบางกลุ่มนั่นเอง คือการไม่สามารถแยกแยะและไม่เข้าใจคำสำคัญ 3 คำคือ สิทธิ หน้าที่ และเสรีภาพ
ทั้งนี้ เมื่อกฎหมายกำหนดสิทธิให้แล้ว เราทุกคนย่อมมีหน้าที่ตามมาไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง เราจะเรียกร้องแต่สิทธิโดยไม่สนใจหน้าที่ก็คงเป็นไปไม่ได้ เพราะจะทำให้สังคมเกิดความสับสนอลม่านวุ่นวายยิ่งกว่านั้น บางคนกลับเข้าใจว่า อิสรภาพคือเสรีภาพทำอะไรก็ได้ ไม่สนใจคนอื่นสังคมจะเป็นอย่างไรก็ช่าง ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วสิทธิและหน้าที่ ตามกฎหมายจะลดทอนอิสรภาพ ของเราให้เหลือเพียงเสรีภาพ ภายใต้กฎหมายเดียวกันทุกประเทศในโลกนี้ก็เป็นเช่นนี้ หากปล่อยให้มีอิสรภาพที่ไร้ขอบเขต ย่อมนำไปสู่การละเมิดสิทธิ ของผู้อื่นในที่สุดก็จะนำไปสู่ปัญหา ทุกอย่างต้องอาศัยกฎหมายเป็นปัจจัยสำคัญเสมอ
ดังนั้นผมขอให้ทุกคนสำรวจความเข้าใจให้ถูกต้อง ช่วยกันลดจุดอ่อนในตัวเอง และขจัดจุดอ่อนของสังคมไทย ด้วยการปรับทัศนะ และกระบวนการคิด ในการมองโลก การปลูกจิตสำนึก ให้เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง และการเสริมสร้างอุดมการณ์ความรักชาติ เพื่อจะมุ่งไปสู่จุดหมายเดียวกันทั้งประเทศ สำหรับนโยบายไทยแลนด์ 4.0 นั้น นอกจากจะหมายรวมถึง การนำพาประเทศชาติ ประชาชนไปสู่ความมั่นคงมั่งคั่งยั่งยืนด้านเศรษฐกิจแล้ว เรายังต้องพัฒนาไปสู่สังคม 4.0 อีกด้วย วันนี้เรายังคงมีประชาชนหลากหลายกลุ่มอาชีพ ทั้งกลุ่มที่ใช้ความรู้จากการประกอบการใช้ประสบการณ์ อาศัยพึ่งพิงธรรมชาติ ใช้แรงงานทั้งมีฝีมือ ไม่มีฝีมือ รวมทั้งกลุ่มที่เป็นอุตสาหกรรมเบา เครื่องจักรเบา เครื่องจักรหนัก ซึ่งแต่ระดับยังมีความแตกต่างกันอยู่ในสังคมเดียวกัน อยู่ในห่วงโซ่รายได้ของประเทศเราเช่นเดียวกัน หากพิจารณาดูให้ดีแล้ว ระบบสังคม ระบบเศรษฐกิจ ระบบนิเวศไม่ได้แตกต่างกัน ในเชิงโครงสร้างและความสัมพันธ์ระหว่างกัน ในระบบเศรษฐกิจใดๆ ย่อมจะต้องมีทั้งผู้ผลิต ผู้บริโภค พ่อค้าคนกลาง มีภาคการเกษตร ภาคอุตสาหกรรม ภาคการบริการ เช่น มีคนปลูกข้าว คนแปรรูป คนรับไปขาย ร้านค้าปลีก ร้านค้าส่ง บริษัทส่งออก มีนายทุน แหล่งเงินทุน โรงรับจำนำ ธนาคาร กองทุน เป็นต้น แต่ทั้งหมดนั้น มีรัฐบาล มีกฎหมาย มีกติกาสากล มีพันธะสัญญาระหว่างประเทศ ซึ่งคอยควบคุมดูแลอยู่เสมอ เช่นเดียวกับระบบนิเวศที่ต้องมีทั้งสัตว์ใหญ่ สัตว์น้อย แมลง ลงไปจนถึงจุลินทรีย์ มีอะไรมากเกินก็ไม่ดี น้อยเกินก็เสียสมดุลทางธรรมชาติ ทั้งนี้หากเราเข้าใจ กฎธรรมชาติแล้ว ก็เป็นสิ่งไม่ยากที่จะทำความเข้าใจ คำว่า กฎหมาย กติกาสังคม มาตรการทางเศรษฐกิจต่างๆ เราจะต้องสร้างความสมดุลในเรื่องเหล่านี้ให้ได้ ระหว่างการพัฒนากับการรักษาระบบนิเวศ
ดังนั้น เราคงต้องมุ่งหวังจะนำพาประเทศไปสู่เศษรฐกิจ 4.0 ทั้งจะต้องนำพา ที่อยู่ 1.0 2.0 3.0 ไปด้วย จะต้องเริ่มจากการพัฒนาทรัพยกร มนุษย์ให้เป็นสังคมการเรียนรู้ เพื่อการปรับปรุง และมีการพัฒนาตันเอง สำหรับในภาคเศษรฐกิจนั้น เราคงจะไม่สามารถทำให้ทุกคนทุกอุตสาหกรรมเป็น 4.0 ได้ เพียงแต่จะทำอย่างไร ให้ 1.0 2.0 3.0 ของภาคอุตสาหกรรมนั้นได้รับการพัฒนาตนเอง โดยใช้ 4.0 เป็นกรอบใหญ่ อาจจะเป็นการใช้เครื่องมือ โดยใช้ 4.0 เป็นกรอบใหญ่ในด้านการพัฒนาอุตสาหกรรม
ทั้งนี้เพื่อจะสร้างความเชื่อมโยงเพิ่มมูลค่า และพัฒนาตนเอง เราไม่อาจให้ทุกกลุ่ม มุ่งไปสู่การใช้หุ่นยนต์ เทคโนโลยี ระดับสูงได้ทั้งหมด เพราะภาคการเกษตรของเรายังมีอยู่มาก การผลิตและอุตสาหกรรมของเรามีหลายรูปแบบ รวมทั้งการใช้แรงงาน ที่ยังคงมีความสำคัญอยู่กับการจ้างงานทั้งปัจจุบันและอนาคต สรุปง่ายๆ บางอย่าง อาจจะเป็นเพียงการใช้เครื่องจักรเครื่องมือ กลไก ที่ทันสมัย ซึ่งสามารถจะผลิตนวัตกรรม ของใช้ที่มีมูลค่าแข่งขันได้ แต่การใช้แรงงาน จ้างงานยังคงต้องมีอยู่เช่นเดิม เพื่อดูแลประชาชนทุกหมู่เหล่า เช่นที่เราเคยกล่าวไว้แล้วว่า เราต้องพัฒนาอุตสาหกรรมเดิม 5 S curve ซึ่งเป็นการพัฒนาเศรษฐกิจในช่วงรัฐบาลหลายสิบปีที่ผ่านมา ให้มีความทันสมัยขึ้นมาบ้าง ผลิตสิ่งของที่มีราคาสูงขึ้นมาบ้าง แข่งขันได้ทำนองนี้ ส่วนที่เราจะต้องนำพาไปสู่ในเรื่องของการใช้หุ่นยนต์ ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องของการใช้เครื่องจักรใหญ่ๆ เครื่องจักรอัตโนมัติ ซึ่งใช้คนน้อยแต่ผลิตสินค้าที่มีราคาสูง มันก็เป็นอีกแบบหนึ่งของโรงงานอุตสาหกรรมในโลกสมัยใหม่ปัจจุบัน ที่รัฐบาลกำลังเร่งส่งเสริมการลงทุนอยู่ ที่เราเรียกว่า 5 New S curve
ทั้งหมดนี้ สิ่งสำคัญที่สุดก็คือการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ที่จะต้องช่วยกันขับเคลื่อน มาทำงาน มาเป็นนักวิจัยและพัฒนา เพื่อสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ เราต้องพิจารณาดูว่า วันนี้เรามีนักวิจัย สัญชาติไทยที่เพียงพอแล้วหรือยัง และมีการทำงานอยู่ในประเทศบ้างหรือไม่ โดยเฉพาะที่จบจากต่างประเทศด้วย ในทุกๆ กิจกรรมไม่ว่าจะเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อมของประเทศ หากวันนี้เรายังมีไม่พอ ทั้งนี้เพื่อจะขับเคลื่อนให้เร็วขึ้น เราต้องเร่งผลิต เร่งส่งเสริม ทั้งในระยะสั้น ระยะยาว รวมทั้ง การที่จะต่อยอดที่มีอยู่แล้ว อาจจะต้องมีการนำเข้า เทคโนโยยีจากต่างประเทศที่มีการนำหน้าเรา และการถ่ายทอดเทคโนโลยีองค์ความรู้ เพื่อพัฒนาศักยภาพฝีมือแรงงานของคนไทย
ทั้งนี้การพัฒนา ภาษาอังกฤษ ภาษาต่างประเทศ และ ภาษาเพื่อนบ้าน จะต้องอยู่ในระดับที่สามารถทำงานร่วมกันได้ รองรับทุกๆ กิจกรรมใน 1.0 2.0 3.0 และ 4.0 สิ่งเหล่านี้นั้นเป็นความจำเป็นที่ต้องใช้ ต้องพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณค่า ให้เพิ่มขึ้นอีกอย่างมากมาย รวมทั้งการใช้แรงงานที่มีฝีมือเพิ่มขึ้น และที่ไม่ใช้ฝีมือก็ต้องมีการพัฒนายังคงมีความสำคัญอยู่ต่อไป ในเรื่องของเศรษฐกิจ ปากท้อง นับเป็นเรื่องสำคัญกับโลก ประชาคมระหว่างประเทศและประเทศไทย ในเวลานี้รัฐบาลได้นำปัจจัยภายใน ภายนอก และข้อเท็จจริงของระบบเศรษฐกิจไทยมาศึกษาในรายละเอียด ให้รู้และเข้าใจถึงปัญหาและอุปสรรค โดยรับฟังความคิด จากทุกภาคส่วน ทั้งนักธุรกิจ นักวิชาการ พ่อค้า ประชาชน ทุกกลุ่มรายได้ ทุกหน่วยสังคม ทั้งในเมืองและชนบท สรุปปัญหาสำคัญ ได้ดังนี้ 1.ปัญหาในเรื่องโครงสร้างและเศรษฐกิจและสังคม เราจำเป็นต้องจัดกลุ่มให้ชัดเจน ทั้งกลุ่มที่มีรายได้สูง ปานกลาง รายได้น้อย สำหรับนโยบายและมาตรการที่เหมาะสมในแต่ละกลุ่มเป้าหมาย จำเป็นต้องอาศัยรายละเอียด และข้อมูลที่ทันสมัย ให้ถูกต้อง สมบูรณ์ แม่นยำ เพื่อการพัฒนาแนวทางที่ดีที่สุด หมายถึงตรงความต้องการ ขจัดปัญหา และอุปสรรคของทุกกลุ่มให้ได้ รวมทั้งคุ้มค่ากับการใช้จ่ายงบประมาณของรัฐบาลอีกด้วย ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกกลุ่ม อันเป็นแรงหนุน การขับเคลื่อน การส่งเสริมจากภาครัฐไปสู่ความสำเร็จได้ ปัจจัยสำคัญก็คือ เราต้องให้ความสำคัญกับกลุ่มเกษตรกรในภาคการผลิต ที่ต้องการเร่งดำเนินการภายใต้แรงกดดันจากภาวะการตลาด ราคาหนี้สิน
2.ปัญหาในการสร้างความเชื่อมโยง เช่น ต้นทางการผลิต กลางทางการแปรรูป การสร้างนวัตกรรม การสร้างมูลค่าเพิ่ม และปลายทางก็คือการตลาด เราจำเป็นต้องสร้างทางเลือก สำหรับประชาชน พ่อค้าคนกลาง ผู้ประกอบการขนาดใหญ่ ให้เป็นตลาดทางเลือกของผู้ผลิต เพาะปลูก ทั้งนี้ เพื่อเพิ่มมูลค่าให้ 4.0 ดูแล 1.0 - 3.0 ให้เพิ่มมูลค่าไปด้วยกัน จาก 4.0 ถึงเศรษฐกิจฐานราก 1.0
3.ปัจจัยด้านความรู้ องค์ความรู้ในภาคการผลิต และด้านการตลาด เราจะต้องนำเทคโนโลยีดิจิทัล ออนไลน์ มาประยุกต์ใช้ให้มาขึ้น ทั้งในการเรียนรู้ การพัฒนาตนเอง การพัฒนากระบวนการให้สะดวกรวดเร็วขึ้น โดยรัฐบาลเน้นให้ทุกคนได้เข้าถึงแหล่งข้อมูล ความรู้ ข่าวสาร บริการที่ทันสมัย เพื่อการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ วิธีการใหม่ๆ รวมทั้งการมีภูมิคุ้มกัน ใหทันต่อการเปลี่ยนแปลงจากสถานการณ์ภายใน และภายนอกประเทศในปัจจุบัน
4.กฎหมาย และมาตรการอำนวยความสะดวก ที่ยังคงล้าสมัยไม่เป็นสากล ต้องได้รับการแก้ไข เพราะจะเป็นอุปสรรคในการลงทุน และเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และบางครั้งอาจจะเปิดช่องทางให้เกิดการทุจริตคอร์รัปชันได้อีกด้วย สิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยพื้นฐานที่ขีดขวางการพัฒนามากบ้าง น้อยบ้าง แต่จำเป็นต้องได้รับการแก้ไขให้ได้โดยเร็ว โดยขจัดกระบวนการที่ไม่จำเป็น ลดขั้นตอนให้รวดเร็ว สะดวก แต่สามารถตรวจสอบได้ โดย
การนำเทคโนโลยีสมัยใหม่ ระบบดิจิทัล เครือข่ายออนไลน์ที่มาตรฐาน รวมทั้งการใช้ One Stop Service ศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จในที่เดียว ดำเนินการให้เป็นรูปธรรมให้มากที่สุด และเข้าถึงง่ายที่สุด ซึ่งรัฐบาล
กำลังเร่งดำเนินการ ผลักดันให้กระทรวงดิจิตัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และหน่วยงานอื่นๆที่เกี่ยวข้องนำไปสู่การปฏิบัติได้ในเร็ววัน
5.ปัจจัยอื่นๆอีกหลายเรื่องที่เกี่ยวข้อง เป็นการประกอบการธุรกิจที่ผิดกฎหมาย การเสียภาษีไม่ถูกต้อง การแสวงประโยชน์จากช่องว่างทางกฎหมาย การอาศัยอำนาจและผลประโยชน์ทับซ้อน การบุกรุกป่า การขายของในพื้นที่ห้ามขาย การไม่เคารพกฎหมาย ไม่เคารพกฎจราจร การขัดแย้ง การละเมิด ระหว่างสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมาย ทำให้ทุกอย่างติดขัด เกิดการแก้ปัญหาที่ล่าช้า ไม่ได้ผลเท่าที่ควร ส่งผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง หากถูกขยายความไปมากๆ อาจจะโดยสื่อโซเชียลฯ ทั้งเจตนา และไม่เจตนา อาจะมีความไม่รับผิดชอบ ไร้จรรยาบรรณ ไม่ช่วยการสร้างการรับรู้ที่ดีในสิ่งที่ควรทำ หรือต้องทำ หรือช่วยกันทำให้ได้ผลดีไปตามลำดับ หากมัวแต่เสนอในแต่ข้อบกพร่อง จับผิดในส่งที่เพียงแต่กำลังเริ่มต้นบนการแก้ปัญหา ที่มีปัญหาทับซ้อนกันอยู่แล้วเดิม แล้วนำไปสู่ความขัดแย้งบิดเบือน หรือไม่รู้จริง ไม่รู้ที่มาที่ไป ไม่มีเหตุผลรองรับมาขยายความในสังคมวงกว้าง สิ่งต่างๆเหล่านั้นก็ไม่เกิดขึ้น แล้วต่างประเทศจะมีความเชื่อมั่นในระบบเศรษฐกิจไทยได้อย่างไร แล้วประชาชนจะมีรายได้จากสิ่งที่กำลังเปลี่ยนแปลง ปรับปรุง ไปสู่สิ่งที่ดีกว่านั้นได้อย่างไร ก็ขออยากให้ประชาชนทุกคนช่วยกันปกป้องผลประโยชน์ของสังคม ของประเทศชาติ โดยการร่วมมือกับรัฐบาล ในการแก้ปัญหาเหล่านี้ การแก้ปัญหาจากพื้นฐาน ที่ขาดความแข็งแกร่ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจ เรื่องสังคม ค่อนข้างจะทำได้ช้า เพราะขาดการสร้างความเข้าใจที่ดี ขาดกระบวนการเรียนรู้ ขาดข้อมูลที่สำคัญ และที่ไม่ถูกบิดเบือน อีกทั้งสัญชาตญาณความเป็นมนุษย์ ซึ่งยอมรับความสะดวกเสรี ที่ไร้ขีดจำกัด ความต้องการทุกคนไม่เหมือนกัน แต่ท้ายที่สุดก็คือความสะดวกสบาย มีเงิน มีอำนาจ แต่ทุกคนจะต้องไม่ลืมว่า
ต้องอยู่บนพื้นฐานความถูกต้องทางกฎหมาย จริยธรรม และความมีคุณธรรม เราทุกคนเป็นส่วนหนึ่งของสังคมไทย หากเราช่วยกันมากบ้าง น้อยบ้างด้วยความรัก ความสามัคคี ลดความขัดแย้ง หลายอย่างมันก็จะดีขึ้น เร็วขึ้น มากกว่าที่พวกเราพยายามทำกันอยู่เวลานี้ สุดท้ายนี้ขอขอบคุณหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐ เอกชน หน่วยงานสมาคมต่างๆ และประชาชนที่มีจิตอาสากว่า 45,000 คน ที่ได้ร่วมกันทำดีเพื่อพ่อ ที่จัดทำถุงข้าวพอเพียงจำนวน 3 ล้านกว่าถุง ตั้งแต่ปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ณ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำหรับนำไปมอบให้กับพี่น้อง ประชาชน ที่เดินทางมาถวายสักการะพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง
สำหรับห้วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่นี้ ผมได้สั่งการหน่วยงานต่างๆ ได้เตรียมความพร้อมวางมาตรการดูแลพี่น้องประชาชน ในการเดินทางกลับภูมิลำเนาและท่องเที่ยว ทั้งจุดพักรถ จุดบริการ ป้ายบอกทาง สัญญาณไฟ บริการฉุกเฉิน รวมทั้งสายด่วนต่างๆ ที่ทุกคนควรบันทึกไว้ ให้สามารถเรียกใช้งานได้ทันที
สำหรับการดูแลรักษาบ้านเมืองให้มีความสงบเรียบร้อยนั้น ผมขอความร่วมมือพี่น้องประชาชน และสถานประกอบการ ห้างร้านต่างๆ ได้ช่วยกันเฝ้าระวังเป็นหูเป็นตา และแจ้งเหตุให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงได้ทราบ เพื่อดำเนินการป้องกันและแก้ไขเหตุการณ์อันไม่พึงประสงค์ได้ทันถ้วงที เพื่อลดความเสียหาย
ทั้งนี้ผู้ที่เดินทางควรขับรถส่วนตัว รถสาธารณะ ขอให้ตรวจเช็กสภาพยานพาหนะให้อยู่ในสภาพที่พร้อมก่อนการเดินทาง ที่สำคัญงดดื่มสุรา เมาไม่ขับ และอย่าฝากความหวังไว้กับเจ้าหน้าที่ดูแลแต่เพียงอย่างเดียว ในการบังคับใช้กฎหมาย ประชาชนเองต้องระมัดระวังอุบัติเหตุด้วย เพราะไม่มีใครดูแลตัวเราได้ดีกว่าตัวเราเอง
ผมขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ทั้งฝ่ายความมั่นคง และฝ่ายปกครองทั้ง ตำรวจ ทหาร อาสาสมัคร ที่เสียสละเวลาอุทิศตนดูแลทุกข์สุขพี่น้องประชาชนในช่วงเทศกาลแห่งความสุขนี้ รวมทั้งบรรดาพี่น้องพลเรือน ตำรวจ ทหาร ที่ปฏิบัติหน้าที่ตามกองกำลังต่างๆ ในพื้นที่ชายแดนนั้นด้วยนะครับ ขอให้พี่น้องประชาชนได้ดูแล ให้กำลังใจเจ้าหน้าที่เหล่านี้ ในการปฏิบัติตนตามกฎหมาย และกฎจราจร เอาใจใส่อย่างเคร่งครัด อย่าขึ้นรถที่พลขับดื่มสุรา หรือขับรถอันตราย รถมาก คนก็มาก การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่เต็มไปด้วยความเคร่งเครียด ขอให้ทุกคนได้มีน้ำใจ และเข้าใจซึ่งกันและกัน ขอบคุณครับ ขอให้ทุกคนมีความสุขในวันช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ สวัสดีครับ
ในโอกาสนี้ ผมขออัญเชิญพรอันประเสริฐเหล่านั้น มาเพื่อเป็นสิริมงคลในชีวิต แด่พี่น้องประชาชนชาวไทยอีกครั้ง อันประกอบด้วยคุณธรรมที่สำคัญ อาทิเช่น ความซื่อสัตย์ คิดดี ทำดี เพื่อส่วนรวม ความขยันอดทน และมีความเพียรอันบริสุทธิ์ การอดออม ประหยัด มัธยัสถ์ และมีความพอเพียง การแสวงหาความรู้ การใช้ปัญญาในการแก้ปัญหา และการฝึกฝนเพื่อพัฒนาตนเอง ความมีสติ รู้คิด และไม่ประมาท รวมทั้งความรู้รักสามัคคี และการทำงานเป็นทีมเป็นต้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะนำพาชีวิตของเรา และประเทศชาติ มีแต่ความสุขความเจริญ และหากคนไทยทุกคน มีแต่ความยินดี และความปรารถนาดี มอบให้แก่กันแล้ว เราทุกคนจะมีชีวิตที่ปราศจากทุกข์ทั้งปวง อันเป็นสัจธรรม ความจริง ของโลกที่ผมอยากให้ทุกคนได้ตระหนัก เพื่อการครองชีวิตตามครรลองที่ถูกต้องเหมาะสมอยู่เสมอด้วยนะครับ
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงใส่พระทัยทุกข์สุขของปวงชนชาวไทย โดยทรงมีกระแสพระราชดำรัส ให้น้อมนำศาสตร์พระราชาแห่งองค์สมเด็จพระบรมชนกนาถ และแนวทางพระราชทาน ตลอดระยะเวลา 7 ทศวรรษที่ผ่านมา ไปประยุกต์ใช้ด้วยปัญญาและความเพียร สำหรับรัฐบาลและข้าราชการในการบริหารราชการแผ่นดิน และสำหรับประชาชนทุกคนในการดำรงชีวิตประจำวัน
ในการนี้ผมขออัญเชิญ ส.ค.ส.พระราชทาน ปีใหม่ พ.ศ. 2537 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของศาสตร์พระราชา โดยมีสาระสำคัญที่แสดงสัจธรรมแห่งชีวิตคือ ยิ้มบ้าง ไม่ยิ้มบ้าง สุขบ้าง ทุกข์บ้าง เหมือนจราจรมาจากคำว่าจรแปลว่า แล่น อะจร แปลว่า ไม่แล่น ดังนั้นเมื่อสนธิเป็นคำใหม่ว่าจราจร จึงหมายถึงแล่นบ้างไม่แล่นบ้าง ให้ใจเย็นต้องอดทนรักษาความเพียรรักษาความดี เพราะอุปสรรคเป็นเครื่องทดสอบคนดี ที่จะไม่ยอมให้ความทุกข์ความลำบากชักนำสู่หนทางเสื่อม ทั้งนี้ ผมหวังว่าสัจธรรมง่ายๆ นี้ จะเป็นกำลังใจให้กับทุกคนที่ยึดมั่นในความดี และไม่อยากให้ท้อถอยหมดกำลังใจตลอดปีใหม่ และตลอดไปนะครับ
พี่น้องประชาชนทุกท่านครับ ในการเดินหน้าประเทศที่ผ่านมานั้นปีหน้าและปีต่อไปนั้น เรามีความจำเป็นต้องกลับมาสำรวจตัวเองอยู่เสมอ เพื่อพัฒนาไปสู่แนวทางที่ดีกว่า เพื่อลดช่องว่าง และแก้ไขบกพร่องในอดีต ไม่ให้เกิดขึ้นซ้ำซากอีกต่อไป รัฐบาลเองมีการสำรวจ และปรับปรุงกระบวนการ และกลไกการบริหารราชการเป็นระยะๆ เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม แม้ภาครัฐจะใช้ความพยายามมากมายเพียงใด หากไม่ได้รับความร่วมมือจากภาคประชาชน ภาคธุรกิจเอกชน ภาคประชาสังคม และภาควิชาการแล้ว การก้าวไปสู่ความมั่นคงมั่งคั่งอย่างยั่งยืนของเราทุกคน ทุกฝ่ายไม่อาจประสบความสำเร็จได้ รัฐบาลนี้ได้ริเริ่มกลไกประชารัฐ เพื่อสานพลังทุกภาคส่วนเหล่านั้นเข้าด้วยกันเชื่อมโยงกันเกื้อกูลกัน เกิดเป็นห่วงโซ่ที่ไม่อาจแยกคิดแยกทำได้อีกต่อไป ทั้งนี้ห่วงโซ่ทุกห่วงต้องเข้มแข็งไปด้วยกัน เพราะเราวัดความแข็งแรงของโซ่ ณ จุดที่อ่อนแอที่สุด จึงเป็นที่มาของวลีที่ว่าเราไม่สามารถทิ้งใครไว้ข้างหลัง แต่เราต้องพัฒนาซึ่งกันและกัน และพัฒนาเคียงบ่าเคียงไหล่ไปพร้อมๆ กัน สิ่งหนึ่งที่ยังคงเป็นอุปสรรค และผมเห็นว่าเป็นจุดอ่อนของประเทศไทย อาจจะเกิดจากคนบางกลุ่มนั่นเอง คือการไม่สามารถแยกแยะและไม่เข้าใจคำสำคัญ 3 คำคือ สิทธิ หน้าที่ และเสรีภาพ
ทั้งนี้ เมื่อกฎหมายกำหนดสิทธิให้แล้ว เราทุกคนย่อมมีหน้าที่ตามมาไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง เราจะเรียกร้องแต่สิทธิโดยไม่สนใจหน้าที่ก็คงเป็นไปไม่ได้ เพราะจะทำให้สังคมเกิดความสับสนอลม่านวุ่นวายยิ่งกว่านั้น บางคนกลับเข้าใจว่า อิสรภาพคือเสรีภาพทำอะไรก็ได้ ไม่สนใจคนอื่นสังคมจะเป็นอย่างไรก็ช่าง ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วสิทธิและหน้าที่ ตามกฎหมายจะลดทอนอิสรภาพ ของเราให้เหลือเพียงเสรีภาพ ภายใต้กฎหมายเดียวกันทุกประเทศในโลกนี้ก็เป็นเช่นนี้ หากปล่อยให้มีอิสรภาพที่ไร้ขอบเขต ย่อมนำไปสู่การละเมิดสิทธิ ของผู้อื่นในที่สุดก็จะนำไปสู่ปัญหา ทุกอย่างต้องอาศัยกฎหมายเป็นปัจจัยสำคัญเสมอ
ดังนั้นผมขอให้ทุกคนสำรวจความเข้าใจให้ถูกต้อง ช่วยกันลดจุดอ่อนในตัวเอง และขจัดจุดอ่อนของสังคมไทย ด้วยการปรับทัศนะ และกระบวนการคิด ในการมองโลก การปลูกจิตสำนึก ให้เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง และการเสริมสร้างอุดมการณ์ความรักชาติ เพื่อจะมุ่งไปสู่จุดหมายเดียวกันทั้งประเทศ สำหรับนโยบายไทยแลนด์ 4.0 นั้น นอกจากจะหมายรวมถึง การนำพาประเทศชาติ ประชาชนไปสู่ความมั่นคงมั่งคั่งยั่งยืนด้านเศรษฐกิจแล้ว เรายังต้องพัฒนาไปสู่สังคม 4.0 อีกด้วย วันนี้เรายังคงมีประชาชนหลากหลายกลุ่มอาชีพ ทั้งกลุ่มที่ใช้ความรู้จากการประกอบการใช้ประสบการณ์ อาศัยพึ่งพิงธรรมชาติ ใช้แรงงานทั้งมีฝีมือ ไม่มีฝีมือ รวมทั้งกลุ่มที่เป็นอุตสาหกรรมเบา เครื่องจักรเบา เครื่องจักรหนัก ซึ่งแต่ระดับยังมีความแตกต่างกันอยู่ในสังคมเดียวกัน อยู่ในห่วงโซ่รายได้ของประเทศเราเช่นเดียวกัน หากพิจารณาดูให้ดีแล้ว ระบบสังคม ระบบเศรษฐกิจ ระบบนิเวศไม่ได้แตกต่างกัน ในเชิงโครงสร้างและความสัมพันธ์ระหว่างกัน ในระบบเศรษฐกิจใดๆ ย่อมจะต้องมีทั้งผู้ผลิต ผู้บริโภค พ่อค้าคนกลาง มีภาคการเกษตร ภาคอุตสาหกรรม ภาคการบริการ เช่น มีคนปลูกข้าว คนแปรรูป คนรับไปขาย ร้านค้าปลีก ร้านค้าส่ง บริษัทส่งออก มีนายทุน แหล่งเงินทุน โรงรับจำนำ ธนาคาร กองทุน เป็นต้น แต่ทั้งหมดนั้น มีรัฐบาล มีกฎหมาย มีกติกาสากล มีพันธะสัญญาระหว่างประเทศ ซึ่งคอยควบคุมดูแลอยู่เสมอ เช่นเดียวกับระบบนิเวศที่ต้องมีทั้งสัตว์ใหญ่ สัตว์น้อย แมลง ลงไปจนถึงจุลินทรีย์ มีอะไรมากเกินก็ไม่ดี น้อยเกินก็เสียสมดุลทางธรรมชาติ ทั้งนี้หากเราเข้าใจ กฎธรรมชาติแล้ว ก็เป็นสิ่งไม่ยากที่จะทำความเข้าใจ คำว่า กฎหมาย กติกาสังคม มาตรการทางเศรษฐกิจต่างๆ เราจะต้องสร้างความสมดุลในเรื่องเหล่านี้ให้ได้ ระหว่างการพัฒนากับการรักษาระบบนิเวศ
ดังนั้น เราคงต้องมุ่งหวังจะนำพาประเทศไปสู่เศษรฐกิจ 4.0 ทั้งจะต้องนำพา ที่อยู่ 1.0 2.0 3.0 ไปด้วย จะต้องเริ่มจากการพัฒนาทรัพยกร มนุษย์ให้เป็นสังคมการเรียนรู้ เพื่อการปรับปรุง และมีการพัฒนาตันเอง สำหรับในภาคเศษรฐกิจนั้น เราคงจะไม่สามารถทำให้ทุกคนทุกอุตสาหกรรมเป็น 4.0 ได้ เพียงแต่จะทำอย่างไร ให้ 1.0 2.0 3.0 ของภาคอุตสาหกรรมนั้นได้รับการพัฒนาตนเอง โดยใช้ 4.0 เป็นกรอบใหญ่ อาจจะเป็นการใช้เครื่องมือ โดยใช้ 4.0 เป็นกรอบใหญ่ในด้านการพัฒนาอุตสาหกรรม
ทั้งนี้เพื่อจะสร้างความเชื่อมโยงเพิ่มมูลค่า และพัฒนาตนเอง เราไม่อาจให้ทุกกลุ่ม มุ่งไปสู่การใช้หุ่นยนต์ เทคโนโลยี ระดับสูงได้ทั้งหมด เพราะภาคการเกษตรของเรายังมีอยู่มาก การผลิตและอุตสาหกรรมของเรามีหลายรูปแบบ รวมทั้งการใช้แรงงาน ที่ยังคงมีความสำคัญอยู่กับการจ้างงานทั้งปัจจุบันและอนาคต สรุปง่ายๆ บางอย่าง อาจจะเป็นเพียงการใช้เครื่องจักรเครื่องมือ กลไก ที่ทันสมัย ซึ่งสามารถจะผลิตนวัตกรรม ของใช้ที่มีมูลค่าแข่งขันได้ แต่การใช้แรงงาน จ้างงานยังคงต้องมีอยู่เช่นเดิม เพื่อดูแลประชาชนทุกหมู่เหล่า เช่นที่เราเคยกล่าวไว้แล้วว่า เราต้องพัฒนาอุตสาหกรรมเดิม 5 S curve ซึ่งเป็นการพัฒนาเศรษฐกิจในช่วงรัฐบาลหลายสิบปีที่ผ่านมา ให้มีความทันสมัยขึ้นมาบ้าง ผลิตสิ่งของที่มีราคาสูงขึ้นมาบ้าง แข่งขันได้ทำนองนี้ ส่วนที่เราจะต้องนำพาไปสู่ในเรื่องของการใช้หุ่นยนต์ ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องของการใช้เครื่องจักรใหญ่ๆ เครื่องจักรอัตโนมัติ ซึ่งใช้คนน้อยแต่ผลิตสินค้าที่มีราคาสูง มันก็เป็นอีกแบบหนึ่งของโรงงานอุตสาหกรรมในโลกสมัยใหม่ปัจจุบัน ที่รัฐบาลกำลังเร่งส่งเสริมการลงทุนอยู่ ที่เราเรียกว่า 5 New S curve
ทั้งหมดนี้ สิ่งสำคัญที่สุดก็คือการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ที่จะต้องช่วยกันขับเคลื่อน มาทำงาน มาเป็นนักวิจัยและพัฒนา เพื่อสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ เราต้องพิจารณาดูว่า วันนี้เรามีนักวิจัย สัญชาติไทยที่เพียงพอแล้วหรือยัง และมีการทำงานอยู่ในประเทศบ้างหรือไม่ โดยเฉพาะที่จบจากต่างประเทศด้วย ในทุกๆ กิจกรรมไม่ว่าจะเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อมของประเทศ หากวันนี้เรายังมีไม่พอ ทั้งนี้เพื่อจะขับเคลื่อนให้เร็วขึ้น เราต้องเร่งผลิต เร่งส่งเสริม ทั้งในระยะสั้น ระยะยาว รวมทั้ง การที่จะต่อยอดที่มีอยู่แล้ว อาจจะต้องมีการนำเข้า เทคโนโยยีจากต่างประเทศที่มีการนำหน้าเรา และการถ่ายทอดเทคโนโลยีองค์ความรู้ เพื่อพัฒนาศักยภาพฝีมือแรงงานของคนไทย
ทั้งนี้การพัฒนา ภาษาอังกฤษ ภาษาต่างประเทศ และ ภาษาเพื่อนบ้าน จะต้องอยู่ในระดับที่สามารถทำงานร่วมกันได้ รองรับทุกๆ กิจกรรมใน 1.0 2.0 3.0 และ 4.0 สิ่งเหล่านี้นั้นเป็นความจำเป็นที่ต้องใช้ ต้องพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณค่า ให้เพิ่มขึ้นอีกอย่างมากมาย รวมทั้งการใช้แรงงานที่มีฝีมือเพิ่มขึ้น และที่ไม่ใช้ฝีมือก็ต้องมีการพัฒนายังคงมีความสำคัญอยู่ต่อไป ในเรื่องของเศรษฐกิจ ปากท้อง นับเป็นเรื่องสำคัญกับโลก ประชาคมระหว่างประเทศและประเทศไทย ในเวลานี้รัฐบาลได้นำปัจจัยภายใน ภายนอก และข้อเท็จจริงของระบบเศรษฐกิจไทยมาศึกษาในรายละเอียด ให้รู้และเข้าใจถึงปัญหาและอุปสรรค โดยรับฟังความคิด จากทุกภาคส่วน ทั้งนักธุรกิจ นักวิชาการ พ่อค้า ประชาชน ทุกกลุ่มรายได้ ทุกหน่วยสังคม ทั้งในเมืองและชนบท สรุปปัญหาสำคัญ ได้ดังนี้ 1.ปัญหาในเรื่องโครงสร้างและเศรษฐกิจและสังคม เราจำเป็นต้องจัดกลุ่มให้ชัดเจน ทั้งกลุ่มที่มีรายได้สูง ปานกลาง รายได้น้อย สำหรับนโยบายและมาตรการที่เหมาะสมในแต่ละกลุ่มเป้าหมาย จำเป็นต้องอาศัยรายละเอียด และข้อมูลที่ทันสมัย ให้ถูกต้อง สมบูรณ์ แม่นยำ เพื่อการพัฒนาแนวทางที่ดีที่สุด หมายถึงตรงความต้องการ ขจัดปัญหา และอุปสรรคของทุกกลุ่มให้ได้ รวมทั้งคุ้มค่ากับการใช้จ่ายงบประมาณของรัฐบาลอีกด้วย ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกกลุ่ม อันเป็นแรงหนุน การขับเคลื่อน การส่งเสริมจากภาครัฐไปสู่ความสำเร็จได้ ปัจจัยสำคัญก็คือ เราต้องให้ความสำคัญกับกลุ่มเกษตรกรในภาคการผลิต ที่ต้องการเร่งดำเนินการภายใต้แรงกดดันจากภาวะการตลาด ราคาหนี้สิน
2.ปัญหาในการสร้างความเชื่อมโยง เช่น ต้นทางการผลิต กลางทางการแปรรูป การสร้างนวัตกรรม การสร้างมูลค่าเพิ่ม และปลายทางก็คือการตลาด เราจำเป็นต้องสร้างทางเลือก สำหรับประชาชน พ่อค้าคนกลาง ผู้ประกอบการขนาดใหญ่ ให้เป็นตลาดทางเลือกของผู้ผลิต เพาะปลูก ทั้งนี้ เพื่อเพิ่มมูลค่าให้ 4.0 ดูแล 1.0 - 3.0 ให้เพิ่มมูลค่าไปด้วยกัน จาก 4.0 ถึงเศรษฐกิจฐานราก 1.0
3.ปัจจัยด้านความรู้ องค์ความรู้ในภาคการผลิต และด้านการตลาด เราจะต้องนำเทคโนโลยีดิจิทัล ออนไลน์ มาประยุกต์ใช้ให้มาขึ้น ทั้งในการเรียนรู้ การพัฒนาตนเอง การพัฒนากระบวนการให้สะดวกรวดเร็วขึ้น โดยรัฐบาลเน้นให้ทุกคนได้เข้าถึงแหล่งข้อมูล ความรู้ ข่าวสาร บริการที่ทันสมัย เพื่อการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ วิธีการใหม่ๆ รวมทั้งการมีภูมิคุ้มกัน ใหทันต่อการเปลี่ยนแปลงจากสถานการณ์ภายใน และภายนอกประเทศในปัจจุบัน
4.กฎหมาย และมาตรการอำนวยความสะดวก ที่ยังคงล้าสมัยไม่เป็นสากล ต้องได้รับการแก้ไข เพราะจะเป็นอุปสรรคในการลงทุน และเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และบางครั้งอาจจะเปิดช่องทางให้เกิดการทุจริตคอร์รัปชันได้อีกด้วย สิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยพื้นฐานที่ขีดขวางการพัฒนามากบ้าง น้อยบ้าง แต่จำเป็นต้องได้รับการแก้ไขให้ได้โดยเร็ว โดยขจัดกระบวนการที่ไม่จำเป็น ลดขั้นตอนให้รวดเร็ว สะดวก แต่สามารถตรวจสอบได้ โดย
การนำเทคโนโลยีสมัยใหม่ ระบบดิจิทัล เครือข่ายออนไลน์ที่มาตรฐาน รวมทั้งการใช้ One Stop Service ศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จในที่เดียว ดำเนินการให้เป็นรูปธรรมให้มากที่สุด และเข้าถึงง่ายที่สุด ซึ่งรัฐบาล
กำลังเร่งดำเนินการ ผลักดันให้กระทรวงดิจิตัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และหน่วยงานอื่นๆที่เกี่ยวข้องนำไปสู่การปฏิบัติได้ในเร็ววัน
5.ปัจจัยอื่นๆอีกหลายเรื่องที่เกี่ยวข้อง เป็นการประกอบการธุรกิจที่ผิดกฎหมาย การเสียภาษีไม่ถูกต้อง การแสวงประโยชน์จากช่องว่างทางกฎหมาย การอาศัยอำนาจและผลประโยชน์ทับซ้อน การบุกรุกป่า การขายของในพื้นที่ห้ามขาย การไม่เคารพกฎหมาย ไม่เคารพกฎจราจร การขัดแย้ง การละเมิด ระหว่างสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมาย ทำให้ทุกอย่างติดขัด เกิดการแก้ปัญหาที่ล่าช้า ไม่ได้ผลเท่าที่ควร ส่งผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง หากถูกขยายความไปมากๆ อาจจะโดยสื่อโซเชียลฯ ทั้งเจตนา และไม่เจตนา อาจะมีความไม่รับผิดชอบ ไร้จรรยาบรรณ ไม่ช่วยการสร้างการรับรู้ที่ดีในสิ่งที่ควรทำ หรือต้องทำ หรือช่วยกันทำให้ได้ผลดีไปตามลำดับ หากมัวแต่เสนอในแต่ข้อบกพร่อง จับผิดในส่งที่เพียงแต่กำลังเริ่มต้นบนการแก้ปัญหา ที่มีปัญหาทับซ้อนกันอยู่แล้วเดิม แล้วนำไปสู่ความขัดแย้งบิดเบือน หรือไม่รู้จริง ไม่รู้ที่มาที่ไป ไม่มีเหตุผลรองรับมาขยายความในสังคมวงกว้าง สิ่งต่างๆเหล่านั้นก็ไม่เกิดขึ้น แล้วต่างประเทศจะมีความเชื่อมั่นในระบบเศรษฐกิจไทยได้อย่างไร แล้วประชาชนจะมีรายได้จากสิ่งที่กำลังเปลี่ยนแปลง ปรับปรุง ไปสู่สิ่งที่ดีกว่านั้นได้อย่างไร ก็ขออยากให้ประชาชนทุกคนช่วยกันปกป้องผลประโยชน์ของสังคม ของประเทศชาติ โดยการร่วมมือกับรัฐบาล ในการแก้ปัญหาเหล่านี้ การแก้ปัญหาจากพื้นฐาน ที่ขาดความแข็งแกร่ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจ เรื่องสังคม ค่อนข้างจะทำได้ช้า เพราะขาดการสร้างความเข้าใจที่ดี ขาดกระบวนการเรียนรู้ ขาดข้อมูลที่สำคัญ และที่ไม่ถูกบิดเบือน อีกทั้งสัญชาตญาณความเป็นมนุษย์ ซึ่งยอมรับความสะดวกเสรี ที่ไร้ขีดจำกัด ความต้องการทุกคนไม่เหมือนกัน แต่ท้ายที่สุดก็คือความสะดวกสบาย มีเงิน มีอำนาจ แต่ทุกคนจะต้องไม่ลืมว่า
ต้องอยู่บนพื้นฐานความถูกต้องทางกฎหมาย จริยธรรม และความมีคุณธรรม เราทุกคนเป็นส่วนหนึ่งของสังคมไทย หากเราช่วยกันมากบ้าง น้อยบ้างด้วยความรัก ความสามัคคี ลดความขัดแย้ง หลายอย่างมันก็จะดีขึ้น เร็วขึ้น มากกว่าที่พวกเราพยายามทำกันอยู่เวลานี้ สุดท้ายนี้ขอขอบคุณหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐ เอกชน หน่วยงานสมาคมต่างๆ และประชาชนที่มีจิตอาสากว่า 45,000 คน ที่ได้ร่วมกันทำดีเพื่อพ่อ ที่จัดทำถุงข้าวพอเพียงจำนวน 3 ล้านกว่าถุง ตั้งแต่ปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ณ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำหรับนำไปมอบให้กับพี่น้อง ประชาชน ที่เดินทางมาถวายสักการะพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง
สำหรับห้วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่นี้ ผมได้สั่งการหน่วยงานต่างๆ ได้เตรียมความพร้อมวางมาตรการดูแลพี่น้องประชาชน ในการเดินทางกลับภูมิลำเนาและท่องเที่ยว ทั้งจุดพักรถ จุดบริการ ป้ายบอกทาง สัญญาณไฟ บริการฉุกเฉิน รวมทั้งสายด่วนต่างๆ ที่ทุกคนควรบันทึกไว้ ให้สามารถเรียกใช้งานได้ทันที
สำหรับการดูแลรักษาบ้านเมืองให้มีความสงบเรียบร้อยนั้น ผมขอความร่วมมือพี่น้องประชาชน และสถานประกอบการ ห้างร้านต่างๆ ได้ช่วยกันเฝ้าระวังเป็นหูเป็นตา และแจ้งเหตุให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงได้ทราบ เพื่อดำเนินการป้องกันและแก้ไขเหตุการณ์อันไม่พึงประสงค์ได้ทันถ้วงที เพื่อลดความเสียหาย
ทั้งนี้ผู้ที่เดินทางควรขับรถส่วนตัว รถสาธารณะ ขอให้ตรวจเช็กสภาพยานพาหนะให้อยู่ในสภาพที่พร้อมก่อนการเดินทาง ที่สำคัญงดดื่มสุรา เมาไม่ขับ และอย่าฝากความหวังไว้กับเจ้าหน้าที่ดูแลแต่เพียงอย่างเดียว ในการบังคับใช้กฎหมาย ประชาชนเองต้องระมัดระวังอุบัติเหตุด้วย เพราะไม่มีใครดูแลตัวเราได้ดีกว่าตัวเราเอง
ผมขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ทั้งฝ่ายความมั่นคง และฝ่ายปกครองทั้ง ตำรวจ ทหาร อาสาสมัคร ที่เสียสละเวลาอุทิศตนดูแลทุกข์สุขพี่น้องประชาชนในช่วงเทศกาลแห่งความสุขนี้ รวมทั้งบรรดาพี่น้องพลเรือน ตำรวจ ทหาร ที่ปฏิบัติหน้าที่ตามกองกำลังต่างๆ ในพื้นที่ชายแดนนั้นด้วยนะครับ ขอให้พี่น้องประชาชนได้ดูแล ให้กำลังใจเจ้าหน้าที่เหล่านี้ ในการปฏิบัติตนตามกฎหมาย และกฎจราจร เอาใจใส่อย่างเคร่งครัด อย่าขึ้นรถที่พลขับดื่มสุรา หรือขับรถอันตราย รถมาก คนก็มาก การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่เต็มไปด้วยความเคร่งเครียด ขอให้ทุกคนได้มีน้ำใจ และเข้าใจซึ่งกันและกัน ขอบคุณครับ ขอให้ทุกคนมีความสุขในวันช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ สวัสดีครับ