สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน ศาสตร์พระราชา ที่คงอยู่คู่แผ่นดินไทยนั้น ครอบคลุมทั้ง พระราชดำริคือแนวคิดและปรัชญาพระราชดำรัส คือ คำสั่งสอน ตักเตือน ให้สติ พระราชกรณียกิจ คือ หลักการทรงงาน และ พระราชจริยวัตรของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ตลอดระยะเวลา 70 ปีที่ผ่านมา ซึ่งปวงพสกนิกรชาวไทยได้น้อมนำมาเป็นแบบอย่างที่ดี ในการประพฤติตน รวมทั้ง รัฐบาลและข้าราชการทุกคน ได้น้อมนำไปประยุกต์ใช้ ในการบริหารราชการแผ่นดิน เพื่อสร้างชาติ และพัฒนาประเทศ อย่างสมดุลและยั่งยืน
สำหรับเพลงพรปีใหม่ เป็นเพลงพระราชนิพนธ์ ลำดับที่ 13 ของในหลวง รัชกาลที่ 9 ด้วยมีพระราชประสงค์ ที่จะพระราชทานพรปีใหม่แก่บรรดาพสกนิกรของพระองค์ด้วยบทเพลง ในวันปีใหม่ วันอังคารที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2495 ซึ่งผมถือว่าเป็นศาสตร์พระราชา อันเป็น สายใยแห่งความรักและความห่วงใย ของสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่มีต่อพสกนิกรไทยทั้งมวล ในปีเดียวกันนี้ นับว่าเป็นปีมหามงคลยิ่ง ของปวงชนชาวไทย เพราะนอกจากจะได้รับพระราชทาน พรจากฟ้า แล้ว ยังเป็นปีที่ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชสมภพ เป็น พระราชโอรสพระองค์เดียว ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ซึ่งพระองค์ ได้เสด็จขึ้นทรงราชย์ เป็นสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร รัชกาลที่ 10 ในศกนี้
เนื่องในโอกาสที่วันขึ้นปีใหม่ ใกล้ที่จะเวียนมาบรรจบ อีกวาระหนึ่ง รัฐบาลขอความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ในการจัดกิจกรรมวันปีใหม่โดยเน้นกิจกรรมสำคัญ 3 ประการ คือ 1. กิจกรรมทางศาสนา ที่ทุกศาสนาสามารถปฏิบัติร่วมกันได้ เพื่อยกระดับจิตใจ แสดงถึงความกลมเกลียวของประชาชน และรักษาความสงบร่มเย็นของประเทศชาติ โดยรวม เช่น การสวดมนต์ การรักษาศีล การร่วมกันทำความดี เป็นต้น 2. กิจกรรมสาธารณประโยชน์ สาธารณกุศล เพื่อแสดงความเป็นปึกแผ่น กระตุ้นจิตสำนึกและส่งเสริมจิตสาธารณะ ในการทำประโยชน์ ให้กับส่วนรวม และประเทศชาติ โดยหากมีการจัดกิจกรรมบันเทิงขึ้น ก็ขอให้เป็นกิจกรรมที่อนุรักษ์ความเป็นไทย และรักษาอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมอันดีงาม ของประเทศ เป็นต้นและ 3. กิจกรรมที่แสดงถึงความจงรักภักดี แด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และการถวายพระพรแด่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร เป็นสำคัญ ด้วย
กิจกรรมดีๆ ในช่วงนี้ ที่ผมอยากจะแนะนำ ได้แก่ 1. โครงการเปิดพิพิธภัณฑ์ให้ชมยามค่ำคืน เพื่อเทิดพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช หรือ Night At The Museum ตั้งแต่วันที่ 16 - 18 ธันวาคมนี้ เวลา 08.00 น. ถึง 22.00 น. ประกอบด้วย 28 นิทรรศการ และ 24 กิจกรรม โดยความร่วมมือของกลุ่มพิพิธภัณฑ์ ภายในพื้นที่เกาะรัตนโกสินทร์ และกลุ่มที่จัดงาน บริเวณภายนอกพื้นที่เกาะรัตนโกสินทร์ รวมทั้งสิ้น 19 หน่วยงาน และ 2. งาน 9 ตามพ่อ สานต่อพระราชปณิธาน ตั้งแต่วันที่ 4 ธันวาคม ที่ผ่านมา เรื่อยไปจนถึง 31 มกราคม ปีหน้า ณ หอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ประกอบด้วย นิทรรศการแสดงพระปรีชาสามารถและพระอัจฉริยภาพของในหลวง รัชกาลที่ 9 การขับร้องและบรรเลงเพลงพระราชนิพนธ์ รวมถึงการเสวนาพูดคุยในหัวข้อต่างๆ ที่เป็นประโยชน์และน่าสนใจ เป็นต้น โดยความร่วมมือตามแนวทาง ประชารัฐ ที่มี บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ในฐานะสื่อของรัฐ ร่วมกับองค์กรพันธมิตรอื่นๆ อีกจำนวนมาก ทั้งนี้เป็นกิจกรรมที่เหมาะสำหรับทุกคนในครอบครัว รวมทั้งพี่น้องประชาชน ที่เดินทางมาจากทั่วทุกสารทิศของประเทศ เพื่อถวายบังคมพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง โดยจะได้ร่วมกันเทิดพระเกียรติในหลวง รัชกาลที่ 9 อีกด้วย
พี่น้องประชาชนที่รัก นอกจากการควบคุมราคาสินค้าอุปโภค บริโภค ไม่ให้มีราคาแพง ซึ่งมีกลไกของหน่วยงานราชการ ดำเนินการกวดขัน ตรวจตรา อย่างต่อเนื่องและเคร่งครัด รวมทั้งการแก้ปัญหาต่างๆ เช่น ปัญหาราคาพืชผลทางการเกษตรตกต่ำ ปัญหาหนี้สิน ปัญหายาเสพติดและปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่น ที่รัฐบาลได้ออกมาตรการต่างๆ ทั้งในระยะสั้น และระยะยาว มาแล้วนั้น รัฐบาลยังได้เตรียมของขวัญปีใหม่ สำหรับประชาชนทุกคน ต้อนรับเทศกาลวันปีใหม่ที่กำลังจะมาถึง โดยที่ประชุมคณะรัฐมนตรี มีมติเห็นชอบมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจช่วงปลายปี หรือที่เรียกว่า ช้อปช่วยชาติ ซึ่งเป็นการยกเว้นภาษีเงินได้กับบุคคลธรรมดา สำหรับการซื้อสินค้า หรือบริการในประเทศ ระหว่างวันที่ 14-31 ธันวาคมนี้ ตามจำนวนที่จ่ายจริง ไม่เกิน 15,000 บาท ต่อคน โดยสามารถนำการซื้อหลายครั้งมารวมกันได้ ทั้งนี้อย่าลืมขอใบกำกับภาษีแบบเต็ม ที่มีข้อความระบุชื่อ ที่อยู่ ของผู้ซื้อสินค้าหรือผู้รับบริการ และเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากรของผู้ประกอบการ สำหรับใช้ประกอบการขอยกเว้นภาษีในภายหลัง อย่างไรก็ตาม มาตรการนี้ไม่รวมถึงสินค้าประเภทเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์เนื่องจากรัฐบาลไม่ได้ต้องการให้มาตรการนี้ไปส่งเสริมการดื่มเครื่องดองของเมา เช่น สุรา เบียร์ ไวน์ รวมทั้งไม่ยกเว้นภาษีสินค้ายาสูบ รถยนต์ รถจักรยานยนต์ น้ำมัน และก๊าซเติมรถยนต์ อีกทั้งไม่รวมถึงค่าที่พัก และค่าบริการด้านการท่องเที่ยว เพราะเป็นส่วนหนึ่งของการท่องเที่ยว ที่มีมาตรการยกเว้นภาษีมาก่อนหน้านี้แล้ว
มาตรการช็อปช่วยชาติในครั้งนี้ มีรูปแบบคล้ายคลึงกับเมื่อปลายปีที่แล้ว และเพิ่มจำนวนวันให้มากขึ้น โดยปีที่แล้วมีผู้เข้าร่วมมาตรการกว่า 1 ล้านคน เกิดการใช้จ่ายเงินเกือบ 1 หมื่นล้านบาท สามารถลดการจัดเก็บภาษีได้ คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 1,200 ล้านบาท
สำหรับในปีนี้คาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมในมาตรการกว่า 2 ล้านคน สามารถกระตุ้นการใช้จ่ายได้มากกว่า 2 หมื่นล้านบาท และสามารถลดการจัดเก็บภาษีได้กว่า 3,200 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นประโยชน์แก่พี่น้องประชาชนในทุกระดับรายได้ โดยไม่ได้มุ่งหวังกระตุ้นให้มีการใช้จ่ายที่สิ้นเปลือง ขอให้มีการใช้จ่ายอย่างพอเพียงตามกำลังความสามารถที่มีอยู่ แต่ต้องการลดภาระจากการเสียภาษีในการซื้อหาของขวัญปีใหม่ เครื่องใช้ในครัวเรือน หรือการรับประทานอาหารนอกบ้าน ใช้เวลาร่วมกันของสมาชิกในครอบครัว ในโอกาสดีๆ ที่ได้กลับบ้าน ภูมิลำเนาเดิมของลูกๆ หลานๆ นะครับ
นอกจากนี้ คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแนวทางการแก้ไขปัญหาการจราจร บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 และ 9 ในช่วงเทศกาลปีใหม่นี้ โดยอนุมัติหลักการให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้ทางหลวงดังกล่าว ตั้งแต่ 24.01 น.ของวันที่ 29 ธันวาคม 2559 ไปจนถึงเวลา 24.00 น.ของวันที่ 4 มกราคม 2560 อีกด้วย
สำหรับการอำนวยความสะดวก และรักษาความปลอดภัย ในระหว่างการเดินทางกลับภูมิลำเนา และเดินทางท่องเที่ยวของประชาชนนั้น ก็ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามแผนปฏิบัติการที่ได้กำหนดไว้ โดยนำผลการประเมินและมาตรการต่างๆ ที่ยังบกพร่องอยู่ จากบทเรียนในปีที่ผ่านๆ มา ปรับปรุงแก้ไข เพื่อให้พี่น้องประชาชนของเรา ได้เดินทางไปและกลับโดยสวัสดิภาพตลอดการเดินทางด้วย ที่สำคัญก็คือ ผู้ประกอบการคมนาคมขนส่ง คนขับเรือ รถโดยสาร ต้องระมัดระวังให้มากที่สุดให้เห็นแก่ชีวิตของพี่น้องประชาชนทุกคน และของตนเองด้วย อย่าดื่มสุราแล้วขับรถ เป็นอันตราย การแซง การใช้ความเร็วให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด
ผมขอให้พี่น้องประชาชนได้ติดตามข้อมูลข่าวสาร การประชาสัมพันธ์จากทางราชการผ่านช่องทางต่างๆ ไม่อยากให้ตกข่าว หรือปฏิบัติไม่ถูกต้อง อาจจะทำให้เสียประโยชน์ได้ เหมือนเช่นกรณีการลงทะเบียนผู้มีรายได้น้อย เพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งเป็นก้าวแรกๆ ในการปฏิรูป รูปแบบการให้สิทธิประโยชน์ และการช่วยเหลือประชาชนผ่านบัตรผู้มีรายได้น้อย เช่น การจ่ายเงินช่วยเหลือแบบพร้อมเพย์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ตามนโยบายเศรษฐกิจแบบดิจิตัลอีโคโนมี รวมทั้งการรับสิทธิประโยชน์อื่นๆในอนาคต เช่น ลดค่าน้ำ ค่าไฟ หรือรถเมล์ รถไฟฟรีในอนาคต เป็นต้น ทั้งนี้ สำหรับผู้ที่ไม่ได้ลงทะเบียนไว้นั้น รัฐบาลจะพิจารณาช่วยเหลือในครั้งต่อไป โดยขอให้พี่น้องประชาชนได้รับฟังข่าวสารจากภาครัฐเพื่อครั้งต่อไปจะไม่เสียสิทธิ จากโครงการช่วยเหลืออื่นของรัฐบาล ปัจจุบันทั้ง 3 ธนาคาร ที่ได้เข้าร่วมโครงการ เริ่มทยอยจ่ายเงินช่วยเหลือแก่ผู้ที่มาลงทะเบียนไว้ประมาณ 4.8 ล้านราย เป็นเงินรวม 1,100 ล้านบาท เหลือผู้ที่ไม่มีบัญชี ไม่พร้อมรับเงินดังกล่าวอีกประมาณ 2 ล้านราย ที่อยู่ระหว่างการดำเนินการให้ถูกต้องต่อไป เราต้องเรียนรู้เรื่องเหล่านี้ด้วยกัน
สำหรับการมอบของขวัญดังที่กล่าวมาแล้วนั้น เป็นเพียงความสุขระยะสั้นที่มีความจำเป็น เพราะนอกจากจะเป็นการคืนความสุขเติมกำลังใจให้พี่น้องประชาชนได้มีแรงกาย แรงใจ สามารถประกอบอาชีพ ต่อสู้อุปสรรคต่อไปได้แล้ว รัฐบาลยังให้ความสำคัญอย่างมากกับมาตรการระยะยาว ได้น้อมนำศาสตร์พระราชาในการพัฒนาที่ยั่งยืน มาสู่การปฏิบัติในแผนงาน โครงการต่างๆ ตลอดระยะเวลา 2 ปีกว่าที่ผ่านมา เช่น การดูแลพี่น้องประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมาย เนื่องจากเห็นว่า ปัญหาสังคมรอไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องปากท้องเหมือนคนป่วยไข้หวัดธรรมดา หากปล่อยปละละเลยแล้ว ก็อาจจะลุกลามบานปลายเป็นปัญหาอื่นๆตามมาได้ ดังนั้นสิ่งที่รัฐบาลดำเนินการได้แก่ การแก้ไขปัญหาสังคมที่ค้างคา พร้อมกับการวางรากฐานเพื่อการพัฒนาสังคมที่ยั่งยืนในอนาคต โดยมีผลการดำเนินงานที่สำคัญ ดังนี้
1.การพัฒนาที่อยู่อาศัย สำหรับผู้มีรายได้น้อยตามแผนยุทธศาสตร์ ครอบคลุม 2.7 ล้านครัวเรือน ได้แก่ ฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดง ใน 8 ปี กว่า 20,000 หน่วย การพัฒนาที่อยู่อาศัยชุมชนริมคลอง กว่า 11,000 ครัวเรือน การจัดหาที่อยู่อาศัยสำหรับผู้ที่ได้รับผลกระทบ จากโครงการริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา 309 ครัวเรือน โครงการปทุมธานีโมเดล 16 ชุมชน โครงการบ้านมั่นคง 561 ชุมชน ใน 46 จังหวัด และโครงการบ้านยั่งยืนกว่า 13,000 หน่วย เป็นต้น
2.การพัฒนาคุณภาพชีวิตเด็ก โดยจัดสรรเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด เพิ่มจากเดือนละ 400 บาท เป็น 600 บาท มีผู้ลงทะเบีบนแล้วกว่า 150,000 คน รับเงินแล้วกว่า 90,000 คน เป็นเงิน 230 ล้านบาท การส่งเสริมศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ทั้งภาครัฐ และเอกชน ให้มีมาตรฐานกว่า 1,600 แห่ง และการพัฒนาเด็กในสถานรองรับเพชรน้ำหนึ่ง ทั้ง 10 แห่ง เป็นต้น
3.การส่งเสริมการจ้างงานคนพิการ ในหน่วยงานภาครัฐ สถานประกอบการเอกชน และในชุมชน การเพิ่มเบี้ยความพิการ จาก 500 บาท เป็น 800 บาทต่อเดือน การส่งเสริมชุมชนต้นแบบ อารยสถาปัตย์ และขยายไปยัง 33 จังหวัดทั่วประเทศ และการพัฒนาศักยภาพนักร้อง นักดนตรีตาบอด ผ่านโครงการ จากถนนสู่ดวงดาว
4.การดำเนินการรองรับสังคมผู้สูงอายุ โดยจัดตั้งศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิต และส่งเสริมอาชีพผู้สูงอายุ 888 แห่ง ทั่วประเทศ การดำเนินการโรงเรียนผู้สูงอายุ 314 แห่ง การยกระดับศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุ 12 แห่ง เพื่อเป็นต้นแบบในการดูแลผู้สูงอายุโดยชุมชน และการสนับสนุนอาสาสมัคร ผู้ดูแลผู้สูงอายุ กว่า 81,000 คน
5.การจัดระเบียบและพัฒนาศักยภาพคนขอทาน และคนไร้ที่พึ่ง ทั้งชาวไทย และต่างด้าว เกือบ 5,000 คน การจัดตั้งธัญบุรีโมเดล เพื่อพัฒนาศักยภาพด้านอาชีพ ส่งเสริมการมีงานทำ คนขอทาน และคนไร้ที่พึ่ง ก่อนกลับคืนสู่ครอบครัว และชุมชน ซึ่งได้ขยายผลไปยังสถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง 11 แห่ง การบังคับใช้กฎหมาย และรณรงค์ให้ทานถูกวิธี ลดวิถีการขอทาน เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน
6.การส่งเสริมความเข้มแข็งสถาบันครอบครัว โดยยุติความรุนแรงในครอบครัวในทุกพื้นที่ และทุกรูปแบบ ผ่านโครงการตำบลแข้มแข็ง ไร้ความรุนแรง 3,000 แห่งทั่วประเทศ การส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างเพศ โดยขับเคลื่อนกฎหมาย และมาตรการที่ป้องกัน การเลือกปฏิบัติทางเพศ รวมถึงส่งเสริมสร้างพื้นที่ปลอดภัยสำหรับสตรีในชุมชน และการพัฒนาศักยภาพสตรีในทุกมิติ ตลอดจนสร้างเครือข่ายเพื่อช่วยเหลือผู้หญิงไทยในยุโรปกว่า 10 ประเทศ
7.การพัฒนาศูนย์ช่วยเหลือสังคมสายด่วน 1300 ให้เป็นช่องทางให้คำปรึกษา แนะนำ แก่ผู้ประสบปัญหาทางสังคมอย่างทันท่วงที โดยให้บริการประชาชนแล้ว กว่า 98,000 ราย
8.นโยบายการขับเคลื่อนระดับพื้นที่จังหวัด โดยเน้นการบูรณาการภายใต้หลักบ้านเดียวกัน โดยการสร้างประสานภาคีเครือข่าย ด้านการพัฒนาสังคม การพัฒนาระบบข้อมูลทางสังคม การยกระดับกลไกประชารัฐในระดับพื้นที่ เพื่อขับเคลื่อนครบวงจรอย่างเป็นระบบ และเป็นพื้นฐานสำคัญในการสานต่อการพัฒนาสังคมไทยให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติและวิสัยทัศน์ประเทศไทยในอนาคตอีกด้วย
อีกศาสตร์พระราชานั้นมีความสำคัญอย่างมากสำหรับประเทศไทย ที่เป็นประเทศเกษตรกรรม คือแผนยุทธศาสตร์การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2558 - 2569 ซึ่งประชาคมโลกได้ให้ความสนใจแนวทางและติดตามผลการดำเนินงานของรัฐบาลอย่างต่อเนื่อง ประกอบด้วย 12 กิจกรรมหลัก ได้แก่ ประปาหมู่บ้าน โรงเรียน ชุมชน การสร้างแหล่งน้ำทั้งในและนอกเขตชลประทาน การพัฒนาแหล่งน้ำและการขุดสระในไร่นา การขุดน้ำบาดาล เพื่อการเกษตรและช่วยภัยแล้ง การขุดลอกลำคลอง แม่น้ำสาขา การฟื้นฟู และการป้องกันการพังทลายหน้าดิน ซึ่งผลการดำเนินงานในการพัฒนาระบบกระจายน้ำ ปี 2558 - 2559 สองปีกว่าที่ผ่านมา มีความคืบหน้ามากกว่า 10 ปีที่ผ่านมา ก่อนที่รัฐบาลนี้จะเข้ามาบริหารราชการเป็นอย่างมาก
สรุปได้ดังนี้ 1. การดำเนินการเพื่อพัฒนาระบบกระจายน้ำ เกือบ 2,000 แห่ง สามารถเก็บกักน้ำได้ 756 ล้านลูกบาศก์เมตร เพิ่มพื้นที่เกษตรชลประทานได้ 1.35 ล้านไร่ 2. การดำเนินการเพื่อพัฒนาระบบน้ำบาดาล ประมาณ 5,400 แห่ง มีศักยภาพในการใช้น้ำ 167 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี เพิ่มพื้นที่เกษตรบาดาลได้กว่า 3 แสนไร่
สำหรับแผนการดำเนินงานในอนาคต ปีงบประมาณ 2560 เพื่อสนับสนุนน้ำในโครงการต่อยอดโครงการพระราชดำริ การสนับสนุนน้ำในพื้นที่เกษตรแปลงใหญ่ และพื้นที่ๆ พร้อมจะเป็นแปลงใหญ่ในอนาคต รวมทั้งการสนับสนุนน้ำในพื้นที่การเกษตรในเขตปฏิรูปที่ดิน โดยมีเป้าหมายการดำเนินการ ในระยะเร่งด่วน ใช้เวลา 1 ปี ทั่วประเทศ จำนวน 211 โครงการ ดังนี้ 1. พื้นที่รับประโยชน์จากแหล่งน้ำเกือบ 480,000 ไร่ 2. ปริมาณน้ำที่เก็บกักได้เกือบ 440 ล้านลูกบาศก์เมตร และ 3. ครัวเรือนที่ได้รับประโยชน์เกือบ 100,000 ครัวเรือน
ทั้งนี้ เพื่อเพิ่มความมั่นคงในการบริหาร และการใช้ทรัพยากรน้ำอย่างมีประสิทธิภาพและคุ้มค่า โดยดำเนินการอย่างบูรณาการ ให้สามารถตอบสนองความต้องการน้ำในทุกภาคส่วน ทั้งภาคการผลิต ภาคการเกษตร ภาคอุตสาหกรรม การอุปโภค-บริโภค และเพื่อการรักษาสมดุลในระบบนิเวศ อย่าลืมเรื่องสำคัญ คือ ช่วยกันกำจัดผักตบชวาทุกต้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืนด้วย
พี่น้องประชาชนครับ ผมอยากจะฝากไว้ว่า การเดินหน้าประเทศตามนโยบาย ไทยแลนด์ 4.0 นั้น หลายคนอาจจะยังไม่เข้าใจ ไม่รู้ว่าตนเองเป็นคนไทย 1.0, 2.0, 3.0 หรือ 4.0 บนโลกที่มีพลวัตร ด้วยเทคโนโลยีดิจิตอล แห่งศตวรรษที่ 21 ผมอยากยกตัวอย่างการสำรวจตนเอง เพื่อจะได้รู้ว่าตนเองอยู่ ณ จุดใด และควรพัฒนาตนเองอย่างไรบ้าง ไม่ได้เป็นการแบ่งชั้น วรรณะ ทุกคนมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เท่าเทียมกัน ต้องให้เกียรติซึ่งกันและกัน ด้วยวิธีง่ายๆ อาจเปรียบเทียบได้กับว่า ถ้าท่านมีโทรศัพท์ ใช้งานเพียงเพื่อการสื่อสารพื้นฐาน ท่านก็เป็นคนไทย 1.0 ถ้าหากท่านใช้มือถือในการส่งอีเมล ส่งไฟล์เอกสาร หรือใช้ประโยชน์ในการทำงาน และกิจวัตรประจำวัน ท่านน่าจะยกระดับตนเองเป็นคนไทย 2.0 ได้ไม่ยาก แต่ถ้าหากท่านสามารถใช้สมาร์ทโฟนได้ราวกับคอมพิวเตอร์ เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ในการแสวงหาความรู้ใหม่ๆ พัฒนาตนเอง ติดต่อกับคนทั่วโลกได้ ท่านอาจจะได้ชื่อว่าเป็นคนไทย 3.0
ยิ่งกว่านั้น หากท่านสามารถสร้างรายได้ สร้างอาชีพ สร้างเครือข่าย สร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ไปสู่การผลิต ด้วยความรู้เหล่านั้น และท่านจะรู้สึกว่าทำงานน้อยลง แต่ได้ผลผลิตมากขึ้น เมื่อเทียบกับที่ผ่านมา แบบนี้ท่านได้ชื่อว่า เป็นคนไทย 4.0 เป็นตัวอย่างเท่านั้นนะครับ
โดยสรุปแล้ว การขับเคลื่อนประเทศสู่ไทยแลนด์ 4.0 นั้น ไม่ได้สำคัญว่าท่านมีอะไร ได้สิ่งสำคัญคือท่านใช้สิ่งที่ท่านมีอย่างไร ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยเฉพาะในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ในการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยอยู่บนหลักของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าท่านจะเป็นคนไทย 1.0, 2.0, 3.0 หรือ 4.0 ก็ตาม ขอให้อย่าหยุดที่จะพัฒนาตนเอง สิ่งที่ผมอยากให้พี่น้องประชาชนได้ทำก็คือ นอกจากการพัฒนา ยกระดับตนเองแล้ว ยังต้องหันหลังมามอง และยื่นมือช่วยเหลือผู้ที่เดินตามมาข้างหลัง เพราะทุกคนอยู่ในห่วงโซ่เดียวกัน การเรียนรู้ การพัฒนาตนเอง เป็นสิ่งสำคัญที่สุด
สำหรับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ผมขอฝากแผนปฏิบัติการด้านคมนาคมขนส่ง พ.ศ. 2560 เพื่อมุ่งสู่การพัฒนาขนส่งที่ยั่งยืนในอนาคต ให้พี่น้องประชาชนรับทราบ รายละเอียดตามหน้าจอ และติดตามได้ทางเว็บไซต์ของกระทรวงคมนาคม
สุดท้ายนี้ ผมขอชื่นชม นายวิทิต ด้วงจุมพล แท็กซี่พลเมืองดี จิตใจงาม ซึ่งนำทรัพย์สินเป็นเงินสดและทองรูปพรรณ มูลค่าเกือบ 3 ล้านบาท ที่ถูกลืมไว้ในรถแท็กซี่ ส่งคืนเจ้าของอย่างไม่ลังเล และไม่คิดเก็บไว้เป็นสมบัติส่วนตัว โดยโทรแจ้ง จส.100 และ สวพ.91 เพื่อติดตามหาเจ้าของจนพบ ซึ่งผมเห็นว่าเรื่องนี้นอกจากจะเป็นตัวอย่างที่ดีกับทุกๆ คนแล้ว ผมยังปรารถนาที่จะเชิญชวนให้คนไทยได้นำเรื่องราวสิ่งดีงามมาเล่าสู่กันฟัง มาสั่งสอนลูกหลาน เพราะความดีเหมือนเป็นดอกไม้ ที่ส่งกลิ่นหอม สร้างความสดชื่น และยกระดับจิตใจ ให้กับทุกคนในสังคม ขอบคุณครับ ขอให้ทุกคนมีความสุขในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ สวัสดีครับ
สำหรับเพลงพรปีใหม่ เป็นเพลงพระราชนิพนธ์ ลำดับที่ 13 ของในหลวง รัชกาลที่ 9 ด้วยมีพระราชประสงค์ ที่จะพระราชทานพรปีใหม่แก่บรรดาพสกนิกรของพระองค์ด้วยบทเพลง ในวันปีใหม่ วันอังคารที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2495 ซึ่งผมถือว่าเป็นศาสตร์พระราชา อันเป็น สายใยแห่งความรักและความห่วงใย ของสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่มีต่อพสกนิกรไทยทั้งมวล ในปีเดียวกันนี้ นับว่าเป็นปีมหามงคลยิ่ง ของปวงชนชาวไทย เพราะนอกจากจะได้รับพระราชทาน พรจากฟ้า แล้ว ยังเป็นปีที่ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชสมภพ เป็น พระราชโอรสพระองค์เดียว ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ซึ่งพระองค์ ได้เสด็จขึ้นทรงราชย์ เป็นสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร รัชกาลที่ 10 ในศกนี้
เนื่องในโอกาสที่วันขึ้นปีใหม่ ใกล้ที่จะเวียนมาบรรจบ อีกวาระหนึ่ง รัฐบาลขอความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ในการจัดกิจกรรมวันปีใหม่โดยเน้นกิจกรรมสำคัญ 3 ประการ คือ 1. กิจกรรมทางศาสนา ที่ทุกศาสนาสามารถปฏิบัติร่วมกันได้ เพื่อยกระดับจิตใจ แสดงถึงความกลมเกลียวของประชาชน และรักษาความสงบร่มเย็นของประเทศชาติ โดยรวม เช่น การสวดมนต์ การรักษาศีล การร่วมกันทำความดี เป็นต้น 2. กิจกรรมสาธารณประโยชน์ สาธารณกุศล เพื่อแสดงความเป็นปึกแผ่น กระตุ้นจิตสำนึกและส่งเสริมจิตสาธารณะ ในการทำประโยชน์ ให้กับส่วนรวม และประเทศชาติ โดยหากมีการจัดกิจกรรมบันเทิงขึ้น ก็ขอให้เป็นกิจกรรมที่อนุรักษ์ความเป็นไทย และรักษาอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมอันดีงาม ของประเทศ เป็นต้นและ 3. กิจกรรมที่แสดงถึงความจงรักภักดี แด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และการถวายพระพรแด่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร เป็นสำคัญ ด้วย
กิจกรรมดีๆ ในช่วงนี้ ที่ผมอยากจะแนะนำ ได้แก่ 1. โครงการเปิดพิพิธภัณฑ์ให้ชมยามค่ำคืน เพื่อเทิดพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช หรือ Night At The Museum ตั้งแต่วันที่ 16 - 18 ธันวาคมนี้ เวลา 08.00 น. ถึง 22.00 น. ประกอบด้วย 28 นิทรรศการ และ 24 กิจกรรม โดยความร่วมมือของกลุ่มพิพิธภัณฑ์ ภายในพื้นที่เกาะรัตนโกสินทร์ และกลุ่มที่จัดงาน บริเวณภายนอกพื้นที่เกาะรัตนโกสินทร์ รวมทั้งสิ้น 19 หน่วยงาน และ 2. งาน 9 ตามพ่อ สานต่อพระราชปณิธาน ตั้งแต่วันที่ 4 ธันวาคม ที่ผ่านมา เรื่อยไปจนถึง 31 มกราคม ปีหน้า ณ หอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ประกอบด้วย นิทรรศการแสดงพระปรีชาสามารถและพระอัจฉริยภาพของในหลวง รัชกาลที่ 9 การขับร้องและบรรเลงเพลงพระราชนิพนธ์ รวมถึงการเสวนาพูดคุยในหัวข้อต่างๆ ที่เป็นประโยชน์และน่าสนใจ เป็นต้น โดยความร่วมมือตามแนวทาง ประชารัฐ ที่มี บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ในฐานะสื่อของรัฐ ร่วมกับองค์กรพันธมิตรอื่นๆ อีกจำนวนมาก ทั้งนี้เป็นกิจกรรมที่เหมาะสำหรับทุกคนในครอบครัว รวมทั้งพี่น้องประชาชน ที่เดินทางมาจากทั่วทุกสารทิศของประเทศ เพื่อถวายบังคมพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง โดยจะได้ร่วมกันเทิดพระเกียรติในหลวง รัชกาลที่ 9 อีกด้วย
พี่น้องประชาชนที่รัก นอกจากการควบคุมราคาสินค้าอุปโภค บริโภค ไม่ให้มีราคาแพง ซึ่งมีกลไกของหน่วยงานราชการ ดำเนินการกวดขัน ตรวจตรา อย่างต่อเนื่องและเคร่งครัด รวมทั้งการแก้ปัญหาต่างๆ เช่น ปัญหาราคาพืชผลทางการเกษตรตกต่ำ ปัญหาหนี้สิน ปัญหายาเสพติดและปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่น ที่รัฐบาลได้ออกมาตรการต่างๆ ทั้งในระยะสั้น และระยะยาว มาแล้วนั้น รัฐบาลยังได้เตรียมของขวัญปีใหม่ สำหรับประชาชนทุกคน ต้อนรับเทศกาลวันปีใหม่ที่กำลังจะมาถึง โดยที่ประชุมคณะรัฐมนตรี มีมติเห็นชอบมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจช่วงปลายปี หรือที่เรียกว่า ช้อปช่วยชาติ ซึ่งเป็นการยกเว้นภาษีเงินได้กับบุคคลธรรมดา สำหรับการซื้อสินค้า หรือบริการในประเทศ ระหว่างวันที่ 14-31 ธันวาคมนี้ ตามจำนวนที่จ่ายจริง ไม่เกิน 15,000 บาท ต่อคน โดยสามารถนำการซื้อหลายครั้งมารวมกันได้ ทั้งนี้อย่าลืมขอใบกำกับภาษีแบบเต็ม ที่มีข้อความระบุชื่อ ที่อยู่ ของผู้ซื้อสินค้าหรือผู้รับบริการ และเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากรของผู้ประกอบการ สำหรับใช้ประกอบการขอยกเว้นภาษีในภายหลัง อย่างไรก็ตาม มาตรการนี้ไม่รวมถึงสินค้าประเภทเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์เนื่องจากรัฐบาลไม่ได้ต้องการให้มาตรการนี้ไปส่งเสริมการดื่มเครื่องดองของเมา เช่น สุรา เบียร์ ไวน์ รวมทั้งไม่ยกเว้นภาษีสินค้ายาสูบ รถยนต์ รถจักรยานยนต์ น้ำมัน และก๊าซเติมรถยนต์ อีกทั้งไม่รวมถึงค่าที่พัก และค่าบริการด้านการท่องเที่ยว เพราะเป็นส่วนหนึ่งของการท่องเที่ยว ที่มีมาตรการยกเว้นภาษีมาก่อนหน้านี้แล้ว
มาตรการช็อปช่วยชาติในครั้งนี้ มีรูปแบบคล้ายคลึงกับเมื่อปลายปีที่แล้ว และเพิ่มจำนวนวันให้มากขึ้น โดยปีที่แล้วมีผู้เข้าร่วมมาตรการกว่า 1 ล้านคน เกิดการใช้จ่ายเงินเกือบ 1 หมื่นล้านบาท สามารถลดการจัดเก็บภาษีได้ คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 1,200 ล้านบาท
สำหรับในปีนี้คาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมในมาตรการกว่า 2 ล้านคน สามารถกระตุ้นการใช้จ่ายได้มากกว่า 2 หมื่นล้านบาท และสามารถลดการจัดเก็บภาษีได้กว่า 3,200 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นประโยชน์แก่พี่น้องประชาชนในทุกระดับรายได้ โดยไม่ได้มุ่งหวังกระตุ้นให้มีการใช้จ่ายที่สิ้นเปลือง ขอให้มีการใช้จ่ายอย่างพอเพียงตามกำลังความสามารถที่มีอยู่ แต่ต้องการลดภาระจากการเสียภาษีในการซื้อหาของขวัญปีใหม่ เครื่องใช้ในครัวเรือน หรือการรับประทานอาหารนอกบ้าน ใช้เวลาร่วมกันของสมาชิกในครอบครัว ในโอกาสดีๆ ที่ได้กลับบ้าน ภูมิลำเนาเดิมของลูกๆ หลานๆ นะครับ
นอกจากนี้ คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแนวทางการแก้ไขปัญหาการจราจร บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 และ 9 ในช่วงเทศกาลปีใหม่นี้ โดยอนุมัติหลักการให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้ทางหลวงดังกล่าว ตั้งแต่ 24.01 น.ของวันที่ 29 ธันวาคม 2559 ไปจนถึงเวลา 24.00 น.ของวันที่ 4 มกราคม 2560 อีกด้วย
สำหรับการอำนวยความสะดวก และรักษาความปลอดภัย ในระหว่างการเดินทางกลับภูมิลำเนา และเดินทางท่องเที่ยวของประชาชนนั้น ก็ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามแผนปฏิบัติการที่ได้กำหนดไว้ โดยนำผลการประเมินและมาตรการต่างๆ ที่ยังบกพร่องอยู่ จากบทเรียนในปีที่ผ่านๆ มา ปรับปรุงแก้ไข เพื่อให้พี่น้องประชาชนของเรา ได้เดินทางไปและกลับโดยสวัสดิภาพตลอดการเดินทางด้วย ที่สำคัญก็คือ ผู้ประกอบการคมนาคมขนส่ง คนขับเรือ รถโดยสาร ต้องระมัดระวังให้มากที่สุดให้เห็นแก่ชีวิตของพี่น้องประชาชนทุกคน และของตนเองด้วย อย่าดื่มสุราแล้วขับรถ เป็นอันตราย การแซง การใช้ความเร็วให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด
ผมขอให้พี่น้องประชาชนได้ติดตามข้อมูลข่าวสาร การประชาสัมพันธ์จากทางราชการผ่านช่องทางต่างๆ ไม่อยากให้ตกข่าว หรือปฏิบัติไม่ถูกต้อง อาจจะทำให้เสียประโยชน์ได้ เหมือนเช่นกรณีการลงทะเบียนผู้มีรายได้น้อย เพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งเป็นก้าวแรกๆ ในการปฏิรูป รูปแบบการให้สิทธิประโยชน์ และการช่วยเหลือประชาชนผ่านบัตรผู้มีรายได้น้อย เช่น การจ่ายเงินช่วยเหลือแบบพร้อมเพย์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ตามนโยบายเศรษฐกิจแบบดิจิตัลอีโคโนมี รวมทั้งการรับสิทธิประโยชน์อื่นๆในอนาคต เช่น ลดค่าน้ำ ค่าไฟ หรือรถเมล์ รถไฟฟรีในอนาคต เป็นต้น ทั้งนี้ สำหรับผู้ที่ไม่ได้ลงทะเบียนไว้นั้น รัฐบาลจะพิจารณาช่วยเหลือในครั้งต่อไป โดยขอให้พี่น้องประชาชนได้รับฟังข่าวสารจากภาครัฐเพื่อครั้งต่อไปจะไม่เสียสิทธิ จากโครงการช่วยเหลืออื่นของรัฐบาล ปัจจุบันทั้ง 3 ธนาคาร ที่ได้เข้าร่วมโครงการ เริ่มทยอยจ่ายเงินช่วยเหลือแก่ผู้ที่มาลงทะเบียนไว้ประมาณ 4.8 ล้านราย เป็นเงินรวม 1,100 ล้านบาท เหลือผู้ที่ไม่มีบัญชี ไม่พร้อมรับเงินดังกล่าวอีกประมาณ 2 ล้านราย ที่อยู่ระหว่างการดำเนินการให้ถูกต้องต่อไป เราต้องเรียนรู้เรื่องเหล่านี้ด้วยกัน
สำหรับการมอบของขวัญดังที่กล่าวมาแล้วนั้น เป็นเพียงความสุขระยะสั้นที่มีความจำเป็น เพราะนอกจากจะเป็นการคืนความสุขเติมกำลังใจให้พี่น้องประชาชนได้มีแรงกาย แรงใจ สามารถประกอบอาชีพ ต่อสู้อุปสรรคต่อไปได้แล้ว รัฐบาลยังให้ความสำคัญอย่างมากกับมาตรการระยะยาว ได้น้อมนำศาสตร์พระราชาในการพัฒนาที่ยั่งยืน มาสู่การปฏิบัติในแผนงาน โครงการต่างๆ ตลอดระยะเวลา 2 ปีกว่าที่ผ่านมา เช่น การดูแลพี่น้องประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมาย เนื่องจากเห็นว่า ปัญหาสังคมรอไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องปากท้องเหมือนคนป่วยไข้หวัดธรรมดา หากปล่อยปละละเลยแล้ว ก็อาจจะลุกลามบานปลายเป็นปัญหาอื่นๆตามมาได้ ดังนั้นสิ่งที่รัฐบาลดำเนินการได้แก่ การแก้ไขปัญหาสังคมที่ค้างคา พร้อมกับการวางรากฐานเพื่อการพัฒนาสังคมที่ยั่งยืนในอนาคต โดยมีผลการดำเนินงานที่สำคัญ ดังนี้
1.การพัฒนาที่อยู่อาศัย สำหรับผู้มีรายได้น้อยตามแผนยุทธศาสตร์ ครอบคลุม 2.7 ล้านครัวเรือน ได้แก่ ฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดง ใน 8 ปี กว่า 20,000 หน่วย การพัฒนาที่อยู่อาศัยชุมชนริมคลอง กว่า 11,000 ครัวเรือน การจัดหาที่อยู่อาศัยสำหรับผู้ที่ได้รับผลกระทบ จากโครงการริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา 309 ครัวเรือน โครงการปทุมธานีโมเดล 16 ชุมชน โครงการบ้านมั่นคง 561 ชุมชน ใน 46 จังหวัด และโครงการบ้านยั่งยืนกว่า 13,000 หน่วย เป็นต้น
2.การพัฒนาคุณภาพชีวิตเด็ก โดยจัดสรรเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด เพิ่มจากเดือนละ 400 บาท เป็น 600 บาท มีผู้ลงทะเบีบนแล้วกว่า 150,000 คน รับเงินแล้วกว่า 90,000 คน เป็นเงิน 230 ล้านบาท การส่งเสริมศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ทั้งภาครัฐ และเอกชน ให้มีมาตรฐานกว่า 1,600 แห่ง และการพัฒนาเด็กในสถานรองรับเพชรน้ำหนึ่ง ทั้ง 10 แห่ง เป็นต้น
3.การส่งเสริมการจ้างงานคนพิการ ในหน่วยงานภาครัฐ สถานประกอบการเอกชน และในชุมชน การเพิ่มเบี้ยความพิการ จาก 500 บาท เป็น 800 บาทต่อเดือน การส่งเสริมชุมชนต้นแบบ อารยสถาปัตย์ และขยายไปยัง 33 จังหวัดทั่วประเทศ และการพัฒนาศักยภาพนักร้อง นักดนตรีตาบอด ผ่านโครงการ จากถนนสู่ดวงดาว
4.การดำเนินการรองรับสังคมผู้สูงอายุ โดยจัดตั้งศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิต และส่งเสริมอาชีพผู้สูงอายุ 888 แห่ง ทั่วประเทศ การดำเนินการโรงเรียนผู้สูงอายุ 314 แห่ง การยกระดับศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุ 12 แห่ง เพื่อเป็นต้นแบบในการดูแลผู้สูงอายุโดยชุมชน และการสนับสนุนอาสาสมัคร ผู้ดูแลผู้สูงอายุ กว่า 81,000 คน
5.การจัดระเบียบและพัฒนาศักยภาพคนขอทาน และคนไร้ที่พึ่ง ทั้งชาวไทย และต่างด้าว เกือบ 5,000 คน การจัดตั้งธัญบุรีโมเดล เพื่อพัฒนาศักยภาพด้านอาชีพ ส่งเสริมการมีงานทำ คนขอทาน และคนไร้ที่พึ่ง ก่อนกลับคืนสู่ครอบครัว และชุมชน ซึ่งได้ขยายผลไปยังสถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง 11 แห่ง การบังคับใช้กฎหมาย และรณรงค์ให้ทานถูกวิธี ลดวิถีการขอทาน เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน
6.การส่งเสริมความเข้มแข็งสถาบันครอบครัว โดยยุติความรุนแรงในครอบครัวในทุกพื้นที่ และทุกรูปแบบ ผ่านโครงการตำบลแข้มแข็ง ไร้ความรุนแรง 3,000 แห่งทั่วประเทศ การส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างเพศ โดยขับเคลื่อนกฎหมาย และมาตรการที่ป้องกัน การเลือกปฏิบัติทางเพศ รวมถึงส่งเสริมสร้างพื้นที่ปลอดภัยสำหรับสตรีในชุมชน และการพัฒนาศักยภาพสตรีในทุกมิติ ตลอดจนสร้างเครือข่ายเพื่อช่วยเหลือผู้หญิงไทยในยุโรปกว่า 10 ประเทศ
7.การพัฒนาศูนย์ช่วยเหลือสังคมสายด่วน 1300 ให้เป็นช่องทางให้คำปรึกษา แนะนำ แก่ผู้ประสบปัญหาทางสังคมอย่างทันท่วงที โดยให้บริการประชาชนแล้ว กว่า 98,000 ราย
8.นโยบายการขับเคลื่อนระดับพื้นที่จังหวัด โดยเน้นการบูรณาการภายใต้หลักบ้านเดียวกัน โดยการสร้างประสานภาคีเครือข่าย ด้านการพัฒนาสังคม การพัฒนาระบบข้อมูลทางสังคม การยกระดับกลไกประชารัฐในระดับพื้นที่ เพื่อขับเคลื่อนครบวงจรอย่างเป็นระบบ และเป็นพื้นฐานสำคัญในการสานต่อการพัฒนาสังคมไทยให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติและวิสัยทัศน์ประเทศไทยในอนาคตอีกด้วย
อีกศาสตร์พระราชานั้นมีความสำคัญอย่างมากสำหรับประเทศไทย ที่เป็นประเทศเกษตรกรรม คือแผนยุทธศาสตร์การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2558 - 2569 ซึ่งประชาคมโลกได้ให้ความสนใจแนวทางและติดตามผลการดำเนินงานของรัฐบาลอย่างต่อเนื่อง ประกอบด้วย 12 กิจกรรมหลัก ได้แก่ ประปาหมู่บ้าน โรงเรียน ชุมชน การสร้างแหล่งน้ำทั้งในและนอกเขตชลประทาน การพัฒนาแหล่งน้ำและการขุดสระในไร่นา การขุดน้ำบาดาล เพื่อการเกษตรและช่วยภัยแล้ง การขุดลอกลำคลอง แม่น้ำสาขา การฟื้นฟู และการป้องกันการพังทลายหน้าดิน ซึ่งผลการดำเนินงานในการพัฒนาระบบกระจายน้ำ ปี 2558 - 2559 สองปีกว่าที่ผ่านมา มีความคืบหน้ามากกว่า 10 ปีที่ผ่านมา ก่อนที่รัฐบาลนี้จะเข้ามาบริหารราชการเป็นอย่างมาก
สรุปได้ดังนี้ 1. การดำเนินการเพื่อพัฒนาระบบกระจายน้ำ เกือบ 2,000 แห่ง สามารถเก็บกักน้ำได้ 756 ล้านลูกบาศก์เมตร เพิ่มพื้นที่เกษตรชลประทานได้ 1.35 ล้านไร่ 2. การดำเนินการเพื่อพัฒนาระบบน้ำบาดาล ประมาณ 5,400 แห่ง มีศักยภาพในการใช้น้ำ 167 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี เพิ่มพื้นที่เกษตรบาดาลได้กว่า 3 แสนไร่
สำหรับแผนการดำเนินงานในอนาคต ปีงบประมาณ 2560 เพื่อสนับสนุนน้ำในโครงการต่อยอดโครงการพระราชดำริ การสนับสนุนน้ำในพื้นที่เกษตรแปลงใหญ่ และพื้นที่ๆ พร้อมจะเป็นแปลงใหญ่ในอนาคต รวมทั้งการสนับสนุนน้ำในพื้นที่การเกษตรในเขตปฏิรูปที่ดิน โดยมีเป้าหมายการดำเนินการ ในระยะเร่งด่วน ใช้เวลา 1 ปี ทั่วประเทศ จำนวน 211 โครงการ ดังนี้ 1. พื้นที่รับประโยชน์จากแหล่งน้ำเกือบ 480,000 ไร่ 2. ปริมาณน้ำที่เก็บกักได้เกือบ 440 ล้านลูกบาศก์เมตร และ 3. ครัวเรือนที่ได้รับประโยชน์เกือบ 100,000 ครัวเรือน
ทั้งนี้ เพื่อเพิ่มความมั่นคงในการบริหาร และการใช้ทรัพยากรน้ำอย่างมีประสิทธิภาพและคุ้มค่า โดยดำเนินการอย่างบูรณาการ ให้สามารถตอบสนองความต้องการน้ำในทุกภาคส่วน ทั้งภาคการผลิต ภาคการเกษตร ภาคอุตสาหกรรม การอุปโภค-บริโภค และเพื่อการรักษาสมดุลในระบบนิเวศ อย่าลืมเรื่องสำคัญ คือ ช่วยกันกำจัดผักตบชวาทุกต้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืนด้วย
พี่น้องประชาชนครับ ผมอยากจะฝากไว้ว่า การเดินหน้าประเทศตามนโยบาย ไทยแลนด์ 4.0 นั้น หลายคนอาจจะยังไม่เข้าใจ ไม่รู้ว่าตนเองเป็นคนไทย 1.0, 2.0, 3.0 หรือ 4.0 บนโลกที่มีพลวัตร ด้วยเทคโนโลยีดิจิตอล แห่งศตวรรษที่ 21 ผมอยากยกตัวอย่างการสำรวจตนเอง เพื่อจะได้รู้ว่าตนเองอยู่ ณ จุดใด และควรพัฒนาตนเองอย่างไรบ้าง ไม่ได้เป็นการแบ่งชั้น วรรณะ ทุกคนมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เท่าเทียมกัน ต้องให้เกียรติซึ่งกันและกัน ด้วยวิธีง่ายๆ อาจเปรียบเทียบได้กับว่า ถ้าท่านมีโทรศัพท์ ใช้งานเพียงเพื่อการสื่อสารพื้นฐาน ท่านก็เป็นคนไทย 1.0 ถ้าหากท่านใช้มือถือในการส่งอีเมล ส่งไฟล์เอกสาร หรือใช้ประโยชน์ในการทำงาน และกิจวัตรประจำวัน ท่านน่าจะยกระดับตนเองเป็นคนไทย 2.0 ได้ไม่ยาก แต่ถ้าหากท่านสามารถใช้สมาร์ทโฟนได้ราวกับคอมพิวเตอร์ เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ในการแสวงหาความรู้ใหม่ๆ พัฒนาตนเอง ติดต่อกับคนทั่วโลกได้ ท่านอาจจะได้ชื่อว่าเป็นคนไทย 3.0
ยิ่งกว่านั้น หากท่านสามารถสร้างรายได้ สร้างอาชีพ สร้างเครือข่าย สร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ไปสู่การผลิต ด้วยความรู้เหล่านั้น และท่านจะรู้สึกว่าทำงานน้อยลง แต่ได้ผลผลิตมากขึ้น เมื่อเทียบกับที่ผ่านมา แบบนี้ท่านได้ชื่อว่า เป็นคนไทย 4.0 เป็นตัวอย่างเท่านั้นนะครับ
โดยสรุปแล้ว การขับเคลื่อนประเทศสู่ไทยแลนด์ 4.0 นั้น ไม่ได้สำคัญว่าท่านมีอะไร ได้สิ่งสำคัญคือท่านใช้สิ่งที่ท่านมีอย่างไร ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยเฉพาะในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ในการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยอยู่บนหลักของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าท่านจะเป็นคนไทย 1.0, 2.0, 3.0 หรือ 4.0 ก็ตาม ขอให้อย่าหยุดที่จะพัฒนาตนเอง สิ่งที่ผมอยากให้พี่น้องประชาชนได้ทำก็คือ นอกจากการพัฒนา ยกระดับตนเองแล้ว ยังต้องหันหลังมามอง และยื่นมือช่วยเหลือผู้ที่เดินตามมาข้างหลัง เพราะทุกคนอยู่ในห่วงโซ่เดียวกัน การเรียนรู้ การพัฒนาตนเอง เป็นสิ่งสำคัญที่สุด
สำหรับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ผมขอฝากแผนปฏิบัติการด้านคมนาคมขนส่ง พ.ศ. 2560 เพื่อมุ่งสู่การพัฒนาขนส่งที่ยั่งยืนในอนาคต ให้พี่น้องประชาชนรับทราบ รายละเอียดตามหน้าจอ และติดตามได้ทางเว็บไซต์ของกระทรวงคมนาคม
สุดท้ายนี้ ผมขอชื่นชม นายวิทิต ด้วงจุมพล แท็กซี่พลเมืองดี จิตใจงาม ซึ่งนำทรัพย์สินเป็นเงินสดและทองรูปพรรณ มูลค่าเกือบ 3 ล้านบาท ที่ถูกลืมไว้ในรถแท็กซี่ ส่งคืนเจ้าของอย่างไม่ลังเล และไม่คิดเก็บไว้เป็นสมบัติส่วนตัว โดยโทรแจ้ง จส.100 และ สวพ.91 เพื่อติดตามหาเจ้าของจนพบ ซึ่งผมเห็นว่าเรื่องนี้นอกจากจะเป็นตัวอย่างที่ดีกับทุกๆ คนแล้ว ผมยังปรารถนาที่จะเชิญชวนให้คนไทยได้นำเรื่องราวสิ่งดีงามมาเล่าสู่กันฟัง มาสั่งสอนลูกหลาน เพราะความดีเหมือนเป็นดอกไม้ ที่ส่งกลิ่นหอม สร้างความสดชื่น และยกระดับจิตใจ ให้กับทุกคนในสังคม ขอบคุณครับ ขอให้ทุกคนมีความสุขในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ สวัสดีครับ