วันนี้ (3 ธ.ค.) เป็นวันที่ 34 ที่พระราชทานพระราชานุญาตให้ประชาชนเข้าถวายสักการะพระบรมศพ เบื้องหน้าพระบรมโกศ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ได้ตั้งแต่เวลา 08.00-21.00 น. (ยกเว้นช่วงมีพระราชพิธีบนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท) โดยมีประชาชนจากทั่วทุกสารทิศสวมชุดไว้ทุกข์สุภาพเรียบร้อยเดินทางมาต่อคิว เพื่อเข้าสักการะพระบรมศพตั้งแต่เช้ามืด ซึ่งเจ้าหน้าที่เปิดให้ประชาชนเข้าทางประตูวิเศษไชยศรีอย่างเป็นระเบียบ โดยในเวลา 05.00 น. เจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังเปิดให้ประชาชนเข้าทางประตูวิเศษไชยศรี
ตั้งแต่ช่วงเช้าที่ผ่านมายังคงมีประชาชนจากทั่วสารทิศทั้งจากกรุงเทพฯ และจากต่างจังหวัดเดินทางมากราบสักการะพระบรมศพเบื้องหน้าพระบรมโกศอย่างเนืองแน่น หลายคนยังมีอากาศโศกเศร้า แนบพระบรมฉายาลักษณ์ของพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ไว้แนบอกตลอดเวลา ด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ
น.ส.สุนิสา เกษี อายุ 18 ปี นักเรียนชั้น ม.6 โรงเรียนสนามไชยเขต และ น.ส.ศิริวรรณ พิมพ์วัน อายุ 18 ปี นักเรียนชั้น ม.6 โรงเรียนมัธยมสิริวัณวรี 3 จ.ฉะเชิงเทรา เดินทางมากับครอบครัวและเพื่อนบ้านในหมู่บ้านร่วม 50 คน ตั้งแต่ห้าทุ่มของเมื่อคืน และมารอเข้าแถวเวลา 03.00 น. กล่าวว่า ตั้งใจอยากมากราบพระบรมศพตั้งนานแล้ว จึงได้รวมตัวกันในหมู่บ้านเดินทางมาในวันนี้ เพราะด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่พระองค์ทรงงานทุกอย่างไว้ให้แก่พสกนิกรชาวไทย อย่างที่พระองค์ทรงอนุรักษ์ช้างที่อุทยานแห่งชาติเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาอ่างฤาไน ซึ่งตั้งอยู่ที่ อ.ท่าตะเกียบ อีกทั้งทรงจัดตั้งศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อน อันเนื่องมาจากพระราชดำริ อ.พนมสารคาม เพราะทรงเห็นว่าพื้นที่ดังกล่าวมีเนื้อดินเป็นดินทราย และมีสภาพเป็นดินจืดชาวบ้านในพื้นที่ไม่สามารถทำการเกษตรได้ ด้วยพระปรีชาสามารถจึงทรงแก้ปัญหาให้กลายเป็นพื้นที่ที่ทำการเพาะปลูก และเลี้ยงชีพผู้คนใน จ.ฉะเชิงเทรา ได้
นอกจากนี้ เรื่องพระราชกรณียกิจของพระองค์ต่างๆ ได้รับฟังถ่ายทอดจากปู่ย่าตายาย ทำให้ได้ซึมซับเรื่องราวของพระองค์ท่านมาตั้งแต่เด็ก จึงตั้งใจนำคำสอนของพระองค์ท่านที่เคยตรัสว่า "คนเราอ่อนโยนได้แต่อย่าอ่อนแอ" มาเป็นกำลังใจในเวลาเจอปัญหาอะไรก็ตามก็จะเข้มแข็งไม่อ่อนแอ รวมถึงยึดหลักความมีระเบียบวินัยในการดำรงชีวิตประจำวัน
ต่อมาสามเณรโครงการ "พม.บวชเพื่อพ่อหลวง" ของกระทรวงพัฒนาสังคมและมนุษย์ กว่า 500 รูป พร้อมด้วยพระพี่เลี้ยงกว่า 20 รูป เดินทางมาเจริญจิตภาวนาปลงธรรมสังเวชพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง และที่บริเวณลานพระอุโบสถ ฝั่งทิศใต้ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม
พระมหาวาที ธรรมธโร วัดหนองแวงพระอารามหลวง จ.ขอนแก่น พระพี่เลี้ยงของเหล่าสามเณรที่มาทำกิจกรรมถวายเป็นพระราชกุศลแด่ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง และวัดพระศรีรัตนศาสดาราม กล่าวว่า สามเณรที่มาในวันนี้เป็นโครงการ พม.บวชเพื่อพ่อหลวงของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ซึ่งจะมีการคัดเลือกเยาวชนชั้นประถมถึงมัธยมปลายแต่ละจังหวัดมาบรรพชาภาคละ 89 รูปรวม 4 ภาค จำนวนทั้งสิ้นกว่า 500 รูป เพื่อทำกิจกรรมถวายเป็นพระราชกุศลแด่ในหลวงรัชกาลที่ 9 มีการทำวัตร สวดมนต์ เจริญจิตรภาวนา อีกทั้งจุดเทียนและแปรอักษรรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ ที่วัดเบญจมเบจมบพิตร ส่วนที่พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท จะร่วมกันเจริญจิตภาวนาปลงธรรมสังเวช โดยบรรพชาระหว่างวันที่ 29 พ.ย.-5 ธ.ค.59 กิจกรรมเด่นของโครงการจะมีการให้สามเณรที่มาแต่ละภาคเปิดใจถึงความประทับใจที่มีต่อในหลวงรัชกาลที่ 9 ซึ่งแต่ละรูปมาจากต่างถิ่นก็จะถ่ายทอดเรื่องพระราชกรณียกิจแตกต่างกัน เช่น เรื่องการแก้ปัญหาภัยแล้ง ยาเสพติด การสร้างเขื่อน เศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งแต่ละรูปนอกจากจะได้ศึกษาพระธรรมแล้วยังได้ซาบซึ้งพระมหากรุณาธิคุณด้วย
ตั้งแต่ช่วงเช้าที่ผ่านมายังคงมีประชาชนจากทั่วสารทิศทั้งจากกรุงเทพฯ และจากต่างจังหวัดเดินทางมากราบสักการะพระบรมศพเบื้องหน้าพระบรมโกศอย่างเนืองแน่น หลายคนยังมีอากาศโศกเศร้า แนบพระบรมฉายาลักษณ์ของพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ไว้แนบอกตลอดเวลา ด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ
น.ส.สุนิสา เกษี อายุ 18 ปี นักเรียนชั้น ม.6 โรงเรียนสนามไชยเขต และ น.ส.ศิริวรรณ พิมพ์วัน อายุ 18 ปี นักเรียนชั้น ม.6 โรงเรียนมัธยมสิริวัณวรี 3 จ.ฉะเชิงเทรา เดินทางมากับครอบครัวและเพื่อนบ้านในหมู่บ้านร่วม 50 คน ตั้งแต่ห้าทุ่มของเมื่อคืน และมารอเข้าแถวเวลา 03.00 น. กล่าวว่า ตั้งใจอยากมากราบพระบรมศพตั้งนานแล้ว จึงได้รวมตัวกันในหมู่บ้านเดินทางมาในวันนี้ เพราะด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่พระองค์ทรงงานทุกอย่างไว้ให้แก่พสกนิกรชาวไทย อย่างที่พระองค์ทรงอนุรักษ์ช้างที่อุทยานแห่งชาติเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาอ่างฤาไน ซึ่งตั้งอยู่ที่ อ.ท่าตะเกียบ อีกทั้งทรงจัดตั้งศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อน อันเนื่องมาจากพระราชดำริ อ.พนมสารคาม เพราะทรงเห็นว่าพื้นที่ดังกล่าวมีเนื้อดินเป็นดินทราย และมีสภาพเป็นดินจืดชาวบ้านในพื้นที่ไม่สามารถทำการเกษตรได้ ด้วยพระปรีชาสามารถจึงทรงแก้ปัญหาให้กลายเป็นพื้นที่ที่ทำการเพาะปลูก และเลี้ยงชีพผู้คนใน จ.ฉะเชิงเทรา ได้
นอกจากนี้ เรื่องพระราชกรณียกิจของพระองค์ต่างๆ ได้รับฟังถ่ายทอดจากปู่ย่าตายาย ทำให้ได้ซึมซับเรื่องราวของพระองค์ท่านมาตั้งแต่เด็ก จึงตั้งใจนำคำสอนของพระองค์ท่านที่เคยตรัสว่า "คนเราอ่อนโยนได้แต่อย่าอ่อนแอ" มาเป็นกำลังใจในเวลาเจอปัญหาอะไรก็ตามก็จะเข้มแข็งไม่อ่อนแอ รวมถึงยึดหลักความมีระเบียบวินัยในการดำรงชีวิตประจำวัน
ต่อมาสามเณรโครงการ "พม.บวชเพื่อพ่อหลวง" ของกระทรวงพัฒนาสังคมและมนุษย์ กว่า 500 รูป พร้อมด้วยพระพี่เลี้ยงกว่า 20 รูป เดินทางมาเจริญจิตภาวนาปลงธรรมสังเวชพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง และที่บริเวณลานพระอุโบสถ ฝั่งทิศใต้ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม
พระมหาวาที ธรรมธโร วัดหนองแวงพระอารามหลวง จ.ขอนแก่น พระพี่เลี้ยงของเหล่าสามเณรที่มาทำกิจกรรมถวายเป็นพระราชกุศลแด่ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง และวัดพระศรีรัตนศาสดาราม กล่าวว่า สามเณรที่มาในวันนี้เป็นโครงการ พม.บวชเพื่อพ่อหลวงของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ซึ่งจะมีการคัดเลือกเยาวชนชั้นประถมถึงมัธยมปลายแต่ละจังหวัดมาบรรพชาภาคละ 89 รูปรวม 4 ภาค จำนวนทั้งสิ้นกว่า 500 รูป เพื่อทำกิจกรรมถวายเป็นพระราชกุศลแด่ในหลวงรัชกาลที่ 9 มีการทำวัตร สวดมนต์ เจริญจิตรภาวนา อีกทั้งจุดเทียนและแปรอักษรรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ ที่วัดเบญจมเบจมบพิตร ส่วนที่พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท จะร่วมกันเจริญจิตภาวนาปลงธรรมสังเวช โดยบรรพชาระหว่างวันที่ 29 พ.ย.-5 ธ.ค.59 กิจกรรมเด่นของโครงการจะมีการให้สามเณรที่มาแต่ละภาคเปิดใจถึงความประทับใจที่มีต่อในหลวงรัชกาลที่ 9 ซึ่งแต่ละรูปมาจากต่างถิ่นก็จะถ่ายทอดเรื่องพระราชกรณียกิจแตกต่างกัน เช่น เรื่องการแก้ปัญหาภัยแล้ง ยาเสพติด การสร้างเขื่อน เศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งแต่ละรูปนอกจากจะได้ศึกษาพระธรรมแล้วยังได้ซาบซึ้งพระมหากรุณาธิคุณด้วย
