xs
xsm
sm
md
lg

พสกนิกรยังหลั่งไหลรอเข้าถวายสักการะพระบรมศพด้วยหัวใจแห่งความภักดี

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

วันนี้ (22 พ.ย.) วันที่สี่สิบในการพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท และวันที่ยี่สิบห้าในการพระราชทานพระราชานุญาตให้ประชาชนเข้าถวายสักการะพระบรมศพ เบื้องหน้าพระบรมโกศ ตั้งแต่เวลา 05.00 น.ที่สำนักพระราชวังได้เปิดให้ประชาชนกราบสักการะพระบรมศพเบื้องหน้าพระบรมโกศ ยังคงมีประชาชนปักหลักเดินทางมาอย่างเนืองแน่นเหมือนดังเช่นวันแรกของการเสด็จสวรรคต ด้วยเพราะหัวใจทุกดวงต่างเต็มไปด้วยความภักดี และหัวใจแห่งความศรัทธาในสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างเต็มเปี่ยมสุดหัวใจ

น.ส.วรรณวิสา จัดพล พนักงานสาวบริษัทเอกชนวัย 30 ปี กล่าวว่า เดินทางมาตั้งแต่เวลา 02.30 น.ของเมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน เพราะทราบว่าวันนี้จะมีการจัดกรรมรวมพลังแห่งความดี ซึ่งเกรงว่าการจราจรจะติดขัด ทั้งนี้ ตนเป็นคนรุ่นใหม่ที่ไม่มีโอกาสได้เข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เคยแต่ได้ยิน ได้ฟังและรับรู้เรื่องราวของพระองค์ผ่านโทรทัศน์ จึงคิดว่าต้องมีสักครั้งที่ตนเข้าเฝ้าพระบรมศพให้ได้ ทั้งนี้ ก็เป็นโอกาสที่ดีเพราะบริษัทของตนให้พนักงานมาสักการะพระบรมศพได้ 1 วัน โดยไม่คิดเป็นวันหยุด

"สำหรับแนวทางพระราชดำริที่นำมาปรับใช้ คือ เรื่องความประหยัดอดออม ซึ่งนำมาใช้ได้จริงในชีวิตมนุษย์เงินเดือนได้เป็นอย่างดี และอยากบอกคนไทยรุ่นใหม่ว่า อยากให้คนไทยใช้วิจารณญาณในการใช้โลกออนไลน์ให้มาก เพราะปัจจุบันมีทั้งเรื่องราวที่ดีและไม่ดี เรื่องดีควรบอกต่อ และถ้าไม่ดีก็ไม่ควรนำมาเป็นประเด็นความขัดแย้งที่ก่อให้เกิดความเกลียดชังของคนในสังคม" น.ส.วรรณวิสา กล่าว

ด้านนางสุถาพร ด่านคุณธรรม คุณครูจากโรงเรียนมัธยมบ้านธรรมเนียบ อ.คีรีรัฐนิคม จ.สุราษฎร์ธานี เล่าให้ฟังว่า ได้เดินทางมาพร้อมคณะครูของโรงเรียนประมาณ 30 คน และมาต่อแถวรอคิวตั้งแต่เมื่อคืน สำหรับความรู้สึกเมื่อได้เข้าไปสักการะพระบรมศพนั้น ตนไม่กล้าที่จะเงยหน้าขึ้นไปมองพระบรมโกศ เพราะกลัวว่าจะทำใจไม่ได้ที่พระองค์เสด็จสวรรคต เพราะตนเป็นข้าราชการครู ซึ่งเป็นข้ารองบาทของพระองค์ ทำให้ตนได้มีชีวิตและมีครอบครัวที่ดี มีกินมีใช้ทุกวันนี้ก็เพราะพระองค์ ส่วนแนวทางพระราชดำริทางโรงเรียนก็นำมาใช้อยู่แล้ว เช่น การนำเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงมาบูรณาการร่วมกันกับวิชาต่างๆ ให้เด็กๆ สามารถปฎิบัติได้จริง

"สำหรับดิฉันเป็นคุณครูสอนวิชาศิลปะ ซึ่งส่วนใหญ่จะต้องมีการวาดภาพ ระบายสี ดิฉันก็สอนเด็กๆ ในห้องเรียนเสมอว่า ให้ดูในหลวงรัชกาลที่ 9 เป็นแบบอย่างเรื่องความประหยัด คือ หากดินสอยังใช้ได้ก็ไม่ควรซื้อใหม่ เพราะพระองค์ใช้ดินสอเพียง 12 แท่งต่อปีเท่านั้น เพราะเด็กๆ ก็ชอบซื้อดินสอใหม่เสมอ ทั้งๆ ที่ดินสอยังใช้ได้ แล้วจะเดินมาถามคุณครูประจำว่า คุณครูครับสามารถซื้อดินสอใหม่หรือเปล่าครับ ดิฉันก็บอกแบบเดิมเสมอ จนเด็กๆ จำคำสอนของดิฉันและนำไปใช้จริง" นางสุถาพร กล่าว

นายพรชัย หารศรี หมอดินจิตอาสาจากแปดริ้ว ผู้พิการเดินไม่ได้จากอุบัติเหตุ แต่ตั้งใจเดินทางด้วยวีลแชร์ จากหมู่บ้านหนองกระทิง ต.ท่ากระดาน อ.สนามชัยเขต จ.ฉะเชิงเทรา มายังพระบรมหาราชวัง โดยเข็นรถมาด้วยตัวเอง และมีลูกชายคอยช่วยเข็นและเดินทางเคียงข้างกันมาจนถึงจุดหมาย ใช้เวลาทั้งหมด 3 วัน

นายพรชัย เล่าว่า ตนเป็นจิตอาสาของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รวมถึงกรมประมง คอยเป็นวิทยากร เผยเเพร่ทฤษฎีการเกษตรที่ในหลวง ร.9 ทรงคิดและทำเพื่อประชาชน สิ่งแวดล้อม พร้อมน้อมนำมาปฏิบัติด้วยตัวเอง ให้ชาวบ้านได้มาศึกษาเกษตรอินทรีย์ปลูกพืชไร้สารเคมี การเลี้ยงปลานิลจิตรลดา ปลูกพืชสวนครัวตามแนวรั้ว การทำเกษตรผสมผสาน ปลูกพืชบำรุงดิน ปรัชญาหญ้าแฝก ทำปุ๋ยอินทรีย์ ทุกอย่างล้วนเป็นปราชญ์ของพ่อ อันที่จริงทรงเป็นปราชญ์กับทุกๆ เรื่องที่ทรงทำ และทุกที่ที่เสด็จไปถึง ทรงเดินบนดินก็คิดแก้ปัญหาเรื่องดิน ทรงเห็นฟ้าก็คิดทำฝนหลวง ทรงไปอยู่ในชุมชนไหนก็คิดแก้ปัญหาของประชาชนในที่นั้น ตอนนี้ชาวบ้านยังทำตามไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะเกษตรอินทรีย์ต้องใช้เวลา ความอดทน หลายคนเริ่มจากการปลูกพืชผสมผสานแทรกตามสวนไร่ ปลูกผักสวนครัวทานกันเอง และทำสารปราบศัตรูพืชจากสะเดา บอระเพ็ดหมัก เชื่อว่าเมื่อเห็นผลของความพอเพียงก็จะเริ่มขยายทำเกษตรอินทรีย์กันเต็มตัวในอนาคต"

นายพรชัย ยังเล่าความรู้สึกหลังได้เข้ากราบสักการะพระบรมศพว่า ตั้งใจปฏิญาณตนต่อหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ว่าขอนำปราชญ์เรื่องดินของพ่อ มาใช้กับตัวเองและเผยแพร่ต่อชาวบ้านให้มีความสุขกับชีวิตเกษตรอินทรีย์ พอเพียงมากที่สุด

ด้านนายชัยวัฒน์ หารศรี อายุ 18 ปี ลูกชาย ให้สัมภาษณ์ว่า พ่อได้ชักชวนตนมา ซึ่งเดิมทีตนมีใจที่อยากมาอยู่แล้ว เพราะเป็นเด็กต่างจังหวัดที่ไม่เคยมีโอกาสเดินทางมายังกรุงเทพมหานคร ทั้งนี้ แม้ตนเป็นเด็กต่างจังหวัด แต่ก็ทราบว่าในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงงานหนัก พระองค์เดินทางไปทั่วทุกสารทิศของประเทศอย่างไม่หวั่น ฉะนั้นตนอายุเพียง 18 จึงคิดว่าอยากทำอะไรเพื่อพระองค์บ้าง

"เมื่อพ่อมาชวนว่าจะเดินทางไปถวายสักการะพระบรมศพด้วยการเดินเท้า ผมก็ดีใจมาก เพราะผมรู้ว่าพ่ออยากมาตั้งแต่กิจกรรมปั่นเพื่อพ่อเมื่อปี 2558 แล้ว แต่พ่อก็มาไม่ได้ หลังจากนั้นผมก็พร้อมออกเดินทางมากับพ่อทันทีตั้งแต่วันที่ 19 พฤศจิกายน จาก จ.ฉะเชิงเทรา ทั้งนี้ ไม่อยากให้พ่อมาคนเดียวด้วย เนื่องจากพ่อเคยประสบอุบัติเหตุรถสิบล้อทับ ทำให้ปัจจุบันพ่อพิการ จะไปไหนมาไหนก็ต้องใช้รถวีลแชร์ตลอด ตอนนี้ร่างกายของผมแม้จะเหนื่อยล้าจากการเดินทางด้วยการเดินมา 3 วันเต็มๆ แต่ผมก็ดีใจมากที่วันนี้ได้เข้าสักการะพระบรมศพในพระบรมมหาราชวัง และอยากขอบคุณน้ำใจคนไทยที่ให้การช่วยเหลือผมและพ่อมาระหว่างการเดินทางตลอดสามวัน" นายชัยวัฒน์ กล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น