พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เปิดเผยถึงกรณีการดำเนินคดีการทุจริตโครงการรับจำนำข้าว ว่า จะมอบให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นผู้ลงนามคำสั่งทางปกครองเพื่อเรียกค่าเสียหายในโครงการรับจำนำข้าว ซึ่งเป็นกระบวนการเดียวกันกับที่กระทรวงพาณิชย์ได้ดำเนินการไว้
ทั้งนี้ กรณีนี้เป็นหน้าที่ของกระทรวงคลัง และข้าราชการของกระทรวงที่รับผิดชอบ ในฐานะกรรมการตรวจสอบ และให้รัฐมนตรีลงนาม ในฐานะเจ้ากระทรวง ตนสามารถมอบหมายให้ลงนามแทนได้ อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่า ดำเนินการส่งฟ้องศาล ทันอายุความภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2560
ส่วนกรณีที่คณะกรรมการพิจารณาความรับผิดทางแพ่งเรียกค่าเสียหายจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี 20 เปอร์เซ็นต์ หรือ 35,700 ล้านบาท จากความเสียหายทั้งหมด 178,000 ล้านบาท นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เป็นการดำเนินการในฐานะที่อดีตนายกรัฐมนตรีเป็นผู้รับผิดชอบในโครงการนี้ และไม่ระงับยับยั้งโครงการตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.)ได้แจ้งเตือน
ส่วนความเสียหายที่เหลือ 80 เปอร์เซ็นต์ หรือ 142,000 ล้านบาท ที่มีการฟ้องร้องผู้ที่กระทำทุจริตอีก 850 คดีนั้น จะมอบหมายให้ศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอตช.) เข้าไปร่วมในการตรวจสอบหาผู้กระทำผิดในระดับผู้บริหารร่วมกับหน่วยงานอื่นๆ ที่ต้องตรวจสอบหาผู้กระทำผิด และเรียกค่าเสียหายจากเจ้าหน้าที่รัฐ ข้าราชการ และเอกชน
นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า การใช้มาตรา 44 ออกคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ 56/2559 เรื่องการคุ้มครองการบริหารจัดการผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรในการดูแลของรัฐ และการดำเนินการต่อผู้ต้องรับผิด ไม่ใช่เป็นการเข้าไปตัดสินคดีโครงการรับจำนำข้าว แต่เพื่ออำนวยความสะดวกให้ข้าราชการมีการมั่นใจในการตรวจสอบคดีนี้
ส่วนกรณีที่นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ จะฟ้องกลับทั้งทางอาญาและทางแพ่ง กับผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า ไม่กังวลต่อเรื่องนี้ พร้อมย้ำว่า ตนทำตามหน้าที่ในการทำให้คดีความเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเท่านั้น
ทั้งนี้ กรณีนี้เป็นหน้าที่ของกระทรวงคลัง และข้าราชการของกระทรวงที่รับผิดชอบ ในฐานะกรรมการตรวจสอบ และให้รัฐมนตรีลงนาม ในฐานะเจ้ากระทรวง ตนสามารถมอบหมายให้ลงนามแทนได้ อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่า ดำเนินการส่งฟ้องศาล ทันอายุความภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2560
ส่วนกรณีที่คณะกรรมการพิจารณาความรับผิดทางแพ่งเรียกค่าเสียหายจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี 20 เปอร์เซ็นต์ หรือ 35,700 ล้านบาท จากความเสียหายทั้งหมด 178,000 ล้านบาท นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เป็นการดำเนินการในฐานะที่อดีตนายกรัฐมนตรีเป็นผู้รับผิดชอบในโครงการนี้ และไม่ระงับยับยั้งโครงการตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.)ได้แจ้งเตือน
ส่วนความเสียหายที่เหลือ 80 เปอร์เซ็นต์ หรือ 142,000 ล้านบาท ที่มีการฟ้องร้องผู้ที่กระทำทุจริตอีก 850 คดีนั้น จะมอบหมายให้ศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอตช.) เข้าไปร่วมในการตรวจสอบหาผู้กระทำผิดในระดับผู้บริหารร่วมกับหน่วยงานอื่นๆ ที่ต้องตรวจสอบหาผู้กระทำผิด และเรียกค่าเสียหายจากเจ้าหน้าที่รัฐ ข้าราชการ และเอกชน
นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า การใช้มาตรา 44 ออกคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ 56/2559 เรื่องการคุ้มครองการบริหารจัดการผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรในการดูแลของรัฐ และการดำเนินการต่อผู้ต้องรับผิด ไม่ใช่เป็นการเข้าไปตัดสินคดีโครงการรับจำนำข้าว แต่เพื่ออำนวยความสะดวกให้ข้าราชการมีการมั่นใจในการตรวจสอบคดีนี้
ส่วนกรณีที่นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ จะฟ้องกลับทั้งทางอาญาและทางแพ่ง กับผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า ไม่กังวลต่อเรื่องนี้ พร้อมย้ำว่า ตนทำตามหน้าที่ในการทำให้คดีความเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเท่านั้น