เมื่อวานนี้ (28ก.ค.) ที่สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เข้ายื่นหนังสือให้ตรวจสอบการกระทำของนพ.เปรมศักดิ์ โดยระบุว่า การที่นพ.เปรมศักดิ์กักขังหน่วงเหนี่ยวนักข่าว เข้าข่ายละเมิดกฎหมายอาญามาตรา 309,310 ประกอบมาตรา 84 ฝ่าฝืนประมวลจริยธรรมข้าราชการการเมืองท้องถิ่นฝ่ายบริหารหรือไม่ อีกทั้ง นพ.เปรมศักดิ์มีการศึกษาสูง เป็นอดีตส.ส. อดีตรมต.หลายกระทรวง ควรมีวุติภาวะ แต่กลับไปหมั้นหรือแต่งงานกับเยาวชนที่ยังศึกษาอยู่ในโรงเรียนในเขตเทศบาลเมืองบ้านไผ่ ชั้น ม.5 ทั้งที่นพ.เปรมศักดิ์เป็นผู้บริหารเทศบาลเมืองดังกล่าว ซึ่งถือเป็นผู้บังคับบัญชาของโรงเรียนดังกล่าวอยู่ด้วย และการมีสถานะเป็นบุคคลสาธารณะ ย่อมถูกตรวจสอบได้ เมื่อสื่อรายงานข่าวดังกล่าวย่อมชอบที่จะกระทำได้ แต่กลับไปแจ้งความเอาผิดผู้สื่อข่าว
ด้านนายธาวิน อินทร์จำนง รองเลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินกล่าวหลังรับหนังสือว่า เรื่องดังกล่าวถือว่าอยู่ในอำนาจหน้าที่ของผู้ตรวจการฯ สามารถตรวจสอบได้ในเรื่องจริยธรรม ซึ่งแบ่งเป็น 2 กรณีคือ การหมั้นกับเยาวชน และการกระทำต่อผู้สื่อข่าว ส่วนที่มองกันว่านพ.เปรมศักดิ์หมั้นหรือแต่งงานกับเยาวชนถือเป็นเรื่องส่วนตัวนั้น แต่สถานะนพ.เปรมศักดิ์ถือเป็นบุคคลสาธารณะและเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
วันเดียวกัน นพ.เปรมศักดิ์ โพสต์เฟซบุ๊คตั้งคำถามต่อสังคมกลับว่า ‘ผมคุกคามสื่อ หรือถูกสื่อคุกคาม’ มีเนื้อหาโดยสรุปว่า ตนเป็นนักการเมือง เป็นบุคคลสาธารณะมานาน รู้ดีว่าต้องมีปฎิสัมพันธ์กับสื่อ ต้องวางระยะห่างเท่าใดจึงเหมาะสม เคารพการทำงานของสื่อมาตลอด ตนกับสื่อเป็นน้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า หนักนิดเบาหน่อยก็ต้องทนกันไป แต่ส่วนใหญ่เป็นตนที่ต้องอดทน บางทีก็หวานอมขมกลืน แต่ล่าสุดนี่สุดจะทนจริงๆ ไม่ต่างไปจากการจับตนแก้ผ้าประจานให้อับอายต่อหน้าธารกำนัล
“เมื่อสื่อคณะหนึ่งบุกรุกเข้ามาพบในห้องทำงาน ผมก็อดที่กอยากขออุทธรณ์ไม่ได้เลยว่า ก่อนเสนอข่าวที่เกิดความเสียหายแก่ผม ทำไมไม่มาสอบถามก่อน แล้วค่อยไปเผยแพร่ให้ครบทุกด้าน แต่นี่สื่อไปเห็นภาพจากไหนไม่ทราบ ก็นำเสนอภาพและข่าวในทางเสียหายไปก่อน จากนั้นค่อยมาตามหาตัวให้ผมไปแก้ข่าวทีหลัง ทำเสมือนให้ผมเป็นจำเลยสังคมก่อนแล้วก็ตามมาสอบสวนรีดเค้น เสมือนเพื่อหวังประจานผม เหมือนที่มีการเปรียบเปรยวงการสื่อทำนองว่า ข่าวร้ายลงฟรี ข่าวดีเสียตังค์ลง”
นพ.เปรมศักดิ์กล่าวด้วยว่า ตนและบุคคลสาธารณะแวดวงต่างๆ ตลอดจนประชาชนทั่วไปตกในสภาพเป็นเบี้ยล่างของสื่อมาตลอด เพราะมีปากกาในมือ ขณะที่พวกตนไม่มีอะไรไปสู้ได้ สื่อจึงกลายเป็นอภิสิทธิ์ชน รู้ว่ามีแต่คนยอม ระยะหลังพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯไม่ยอมก็มีคนสนับสนุน ตนก็ว่าในเมื่อมีผู้ใหญ่ในบ้านเมืองยืนหยัดไม่ยอมสักคน ตนจะไม่ยอมทนอีกสักรายจะเป็นไรไป อย่างไรก็ตาม ตนไม่ได้ไปรบกับสื่อ แต่จะยืนหยัดปกป้องศักดิ์ศรีตัวเอง โดยแถลงผ่านเฟซบุ๊คกับมีกฎหมายเป็นที่พึ่ง
“ผมสลัดความกลัวทิ้งไปแล้ว จะยืนหยัดประกาศให้ทราบกันทั่วว่า หมดเวลาที่เราจะหงออยู่ใต้อำนาจอธรรมของสื่อแล้ว และได้เวลานับหนึ่งในการปฏิรูปสื่อแล้ว”นพ.เปรมศักดิ์ระบุ
ต่อมาเวลา 16.00 น. นพ.เปรมศักดิ์ ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวว่า ไม่ขอให้ข้อมูลข้างถนน หรือตามอำเภอใจที่นักข่าวอยากได้ เพราะตนมีเวลาน้อยในการทำงานแต่ละวัน จะขอให้ข้อมูลและต่อสู้ตามกระบวนการคือ ถ้าตำรวจหรือจังหวัดติดต่อมา ก็พร้อมให้ข้อมูลตามข้อเท็จจริง ตนพร้อมให้ข้อมูลกับประชาชน แต่ต้องอยู่ภายใต้ระบบของกรอบกฎหมาย ส่วนที่มีการยกเลิกการมอบรางวัลคนจิตอาสาตามรอยพ่อของแผ่นดิน ตนไม่เดือดร้อน ถือว่าได้รับเกียรติแล้ว ถ้าคณะกรรมการได้ทบทวนอีกครั้งตามกระแสของสื่อ ก็เป็นดุลยพินิจและอำนาจของกรรมการที่จะทบทวนยกเลิก
ด้านนายธาวิน อินทร์จำนง รองเลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินกล่าวหลังรับหนังสือว่า เรื่องดังกล่าวถือว่าอยู่ในอำนาจหน้าที่ของผู้ตรวจการฯ สามารถตรวจสอบได้ในเรื่องจริยธรรม ซึ่งแบ่งเป็น 2 กรณีคือ การหมั้นกับเยาวชน และการกระทำต่อผู้สื่อข่าว ส่วนที่มองกันว่านพ.เปรมศักดิ์หมั้นหรือแต่งงานกับเยาวชนถือเป็นเรื่องส่วนตัวนั้น แต่สถานะนพ.เปรมศักดิ์ถือเป็นบุคคลสาธารณะและเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
วันเดียวกัน นพ.เปรมศักดิ์ โพสต์เฟซบุ๊คตั้งคำถามต่อสังคมกลับว่า ‘ผมคุกคามสื่อ หรือถูกสื่อคุกคาม’ มีเนื้อหาโดยสรุปว่า ตนเป็นนักการเมือง เป็นบุคคลสาธารณะมานาน รู้ดีว่าต้องมีปฎิสัมพันธ์กับสื่อ ต้องวางระยะห่างเท่าใดจึงเหมาะสม เคารพการทำงานของสื่อมาตลอด ตนกับสื่อเป็นน้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า หนักนิดเบาหน่อยก็ต้องทนกันไป แต่ส่วนใหญ่เป็นตนที่ต้องอดทน บางทีก็หวานอมขมกลืน แต่ล่าสุดนี่สุดจะทนจริงๆ ไม่ต่างไปจากการจับตนแก้ผ้าประจานให้อับอายต่อหน้าธารกำนัล
“เมื่อสื่อคณะหนึ่งบุกรุกเข้ามาพบในห้องทำงาน ผมก็อดที่กอยากขออุทธรณ์ไม่ได้เลยว่า ก่อนเสนอข่าวที่เกิดความเสียหายแก่ผม ทำไมไม่มาสอบถามก่อน แล้วค่อยไปเผยแพร่ให้ครบทุกด้าน แต่นี่สื่อไปเห็นภาพจากไหนไม่ทราบ ก็นำเสนอภาพและข่าวในทางเสียหายไปก่อน จากนั้นค่อยมาตามหาตัวให้ผมไปแก้ข่าวทีหลัง ทำเสมือนให้ผมเป็นจำเลยสังคมก่อนแล้วก็ตามมาสอบสวนรีดเค้น เสมือนเพื่อหวังประจานผม เหมือนที่มีการเปรียบเปรยวงการสื่อทำนองว่า ข่าวร้ายลงฟรี ข่าวดีเสียตังค์ลง”
นพ.เปรมศักดิ์กล่าวด้วยว่า ตนและบุคคลสาธารณะแวดวงต่างๆ ตลอดจนประชาชนทั่วไปตกในสภาพเป็นเบี้ยล่างของสื่อมาตลอด เพราะมีปากกาในมือ ขณะที่พวกตนไม่มีอะไรไปสู้ได้ สื่อจึงกลายเป็นอภิสิทธิ์ชน รู้ว่ามีแต่คนยอม ระยะหลังพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯไม่ยอมก็มีคนสนับสนุน ตนก็ว่าในเมื่อมีผู้ใหญ่ในบ้านเมืองยืนหยัดไม่ยอมสักคน ตนจะไม่ยอมทนอีกสักรายจะเป็นไรไป อย่างไรก็ตาม ตนไม่ได้ไปรบกับสื่อ แต่จะยืนหยัดปกป้องศักดิ์ศรีตัวเอง โดยแถลงผ่านเฟซบุ๊คกับมีกฎหมายเป็นที่พึ่ง
“ผมสลัดความกลัวทิ้งไปแล้ว จะยืนหยัดประกาศให้ทราบกันทั่วว่า หมดเวลาที่เราจะหงออยู่ใต้อำนาจอธรรมของสื่อแล้ว และได้เวลานับหนึ่งในการปฏิรูปสื่อแล้ว”นพ.เปรมศักดิ์ระบุ
ต่อมาเวลา 16.00 น. นพ.เปรมศักดิ์ ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวว่า ไม่ขอให้ข้อมูลข้างถนน หรือตามอำเภอใจที่นักข่าวอยากได้ เพราะตนมีเวลาน้อยในการทำงานแต่ละวัน จะขอให้ข้อมูลและต่อสู้ตามกระบวนการคือ ถ้าตำรวจหรือจังหวัดติดต่อมา ก็พร้อมให้ข้อมูลตามข้อเท็จจริง ตนพร้อมให้ข้อมูลกับประชาชน แต่ต้องอยู่ภายใต้ระบบของกรอบกฎหมาย ส่วนที่มีการยกเลิกการมอบรางวัลคนจิตอาสาตามรอยพ่อของแผ่นดิน ตนไม่เดือดร้อน ถือว่าได้รับเกียรติแล้ว ถ้าคณะกรรมการได้ทบทวนอีกครั้งตามกระแสของสื่อ ก็เป็นดุลยพินิจและอำนาจของกรรมการที่จะทบทวนยกเลิก