นายโกวิท สัจจวิเศษ เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน กล่าวถึงกรณีที่คณะกรรมการประกันสังคม (สปส.) เห็นชอบในหลักการเพิ่มค่าทำฟันจากปีละ 600 บาท เป็น 900 บาท ว่า ในข้อกำหนดหลักเกณฑ์การเบิกจ่ายค่าทำฟันได้ปีละ 900 บาท มีรายละเอียดดังนี้ ขูดหินปูนทั้งปาก 400 บาท อุดฟันด้วยวัสดุอะมอลกัม (Amalgam) 1 ด้าน 300 บาท 2 ด้าน 450 บาท อุดฟันด้วยวัสดุเหมือนฟัน 1 ด้าน (ฟันหน้า) 350 บาท (ฟันหลัง) 400 บาท 2 ด้าน (ฟันหน้า) 400 บาท (ฟันหลัง) 500 บาท ถอนฟัน (ฟันแท้) 250 บาท ถอนฟันที่ยาก 450 บาท และผ่าฟันคุด 900 บาท
ทั้งนี้ จะมีการเสนอประกาศคณะกรรมการการแพทย์ของ สปส.เข้าสู่การพิจารณาของบอร์ด สปส.ในวันที่ 27 กรกฎาคมนี้ และจะเริ่มให้มีผลตั้งแต่วันที่ 12 สิงหาคม โดยผู้ประกันตนที่ไปใช้ทำฟันในโรงพยาบาลหรือคลินิกต่างๆ หรือสถานพยาบาล คลินิกที่ทำฟันแก่ผู้ประกันตนสามารถมาเบิกค่าทำฟันได้ตามเกณฑ์ที่กำหนด
ส่วนโครงการนำร่องทำฟันโดยผู้ประกันตนไม่ต้องสำรองจ่าย ซึ่งสถานพยาบาลที่เข้าร่วมโครงการสามารถมาเบิกจ่ายในอัตราปีละ 900 บาทนั้น บอร์ด สปส.ได้ให้ความเห็นชอบให้นำร่องโครงการใน 30 หน่วยแล้ว โดยแยกเป็นในกรุงเทพฯ 12 หน่วย และต่างจังหวัด 18 หน่วย ได้แก่ ปทุมธานี อ่างทอง สมุทรปราการ สุพรรณบุรี สมุทรสงคราม ชุมพร พังงา สตูล จันทบุรี บึงกาฬ มุกดาหาร ร้อยเอ็ด ยโสธร ชัยภูมิ เชียงใหม่ แพร่ อุตรดิตถ์ และอุทัยธานี
ขณะนี้ สปส.อยู่ระหว่างจัดทำร่างประกาศรับสมัครและร่างบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่างสปส.กับสถานพยาบาล คลีนิคเข้าร่วมนำร่องในโครงการฯ หลังจากนั้นจะประกาศรับสมัครสถานพยาบาล คลีนิคนำร่องในช่วงต้นเดือนสิงหาคมนี้ ทั้งนี้ แต่ละหน่วยสามารถมีสถานพยาบาลได้มากกว่า 1 แห่ง ขึ้นอยู่กับจำนวนสถานพยาบาลที่มาสมัคร ซึ่ง สปส.จะตรวจสอบคุณสมบัติและความพร้อมเพื่อคัดเลือกเข้าร่วมโครงการ คาดว่าจะเริ่มโครงการได้ในเดือนสิงหาคมนี้
ทั้งนี้ จะมีการเสนอประกาศคณะกรรมการการแพทย์ของ สปส.เข้าสู่การพิจารณาของบอร์ด สปส.ในวันที่ 27 กรกฎาคมนี้ และจะเริ่มให้มีผลตั้งแต่วันที่ 12 สิงหาคม โดยผู้ประกันตนที่ไปใช้ทำฟันในโรงพยาบาลหรือคลินิกต่างๆ หรือสถานพยาบาล คลินิกที่ทำฟันแก่ผู้ประกันตนสามารถมาเบิกค่าทำฟันได้ตามเกณฑ์ที่กำหนด
ส่วนโครงการนำร่องทำฟันโดยผู้ประกันตนไม่ต้องสำรองจ่าย ซึ่งสถานพยาบาลที่เข้าร่วมโครงการสามารถมาเบิกจ่ายในอัตราปีละ 900 บาทนั้น บอร์ด สปส.ได้ให้ความเห็นชอบให้นำร่องโครงการใน 30 หน่วยแล้ว โดยแยกเป็นในกรุงเทพฯ 12 หน่วย และต่างจังหวัด 18 หน่วย ได้แก่ ปทุมธานี อ่างทอง สมุทรปราการ สุพรรณบุรี สมุทรสงคราม ชุมพร พังงา สตูล จันทบุรี บึงกาฬ มุกดาหาร ร้อยเอ็ด ยโสธร ชัยภูมิ เชียงใหม่ แพร่ อุตรดิตถ์ และอุทัยธานี
ขณะนี้ สปส.อยู่ระหว่างจัดทำร่างประกาศรับสมัครและร่างบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่างสปส.กับสถานพยาบาล คลีนิคเข้าร่วมนำร่องในโครงการฯ หลังจากนั้นจะประกาศรับสมัครสถานพยาบาล คลีนิคนำร่องในช่วงต้นเดือนสิงหาคมนี้ ทั้งนี้ แต่ละหน่วยสามารถมีสถานพยาบาลได้มากกว่า 1 แห่ง ขึ้นอยู่กับจำนวนสถานพยาบาลที่มาสมัคร ซึ่ง สปส.จะตรวจสอบคุณสมบัติและความพร้อมเพื่อคัดเลือกเข้าร่วมโครงการ คาดว่าจะเริ่มโครงการได้ในเดือนสิงหาคมนี้