รายงานข่าวแจ้งว่า เมื่อวานนี้ (30มิ.ย.) ที่ศาลแขวงดุสิต ถนนบรมราชชนนี ศาลอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ในคดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีแขวงดุสิต เป็นโจทก์ฟ้อง นายสมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ บก.ลายจุด นักเคลื่อนไหวทางการเมือง เป็นจำเลย ฐานฝ่าฝืนคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) 3/2557 กรณีเมื่อวันที่ 23 พ.ค. 57 คสช. ได้แจ้งให้ นายสมบัติ จำเลย เข้ารายงานตัวต่อ คสช. ที่หอประชุมกองทัพบก แต่ นายสมบัติ ไม่ยอมมารายงานตัวตามคำสั่ง และยังได้มีประกาศ คสช.ฉบับที่ 29/2557 ลงวันที่24 พ.ค.57 ให้นายสมบัติ มารายงานตัว ซึ่งจำเลยได้รับทราบประกาศคำสั่งดังกล่าว แต่ก็ยังไม่มารายงานตัวตามคำสั่งโดยไม่แจ้งเหตุขัดข้อง
กระทั่งวันที่ 5 มิ.ย. 57 เจ้าหน้าที่ได้ร่วมกันจับกุมตัว นายสมบัติ จากบ้านพักที่ อ.พานทอง จ.ชลบุรี จำเลยให้การปฏิเสธ
คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 368วรรคหนึ่ง(เดิม)ให้ปรับ 500 บาท แต่ไม่ได้พิพากษาจำคุก โจทก์และจำเลยยื่นอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้วข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.(ขณะนั้น)และหัวหน้าคสช. มีคำสั่งเรียกบุคคลมารายงานตัวโดยจำเลยเป็นบุคคลตามรายชื่อในลำดับที่ 60 แต่จำเลยไม่มารายงานตัวตามคำสั่งดังกล่าว ที่จำเลยยื่นอุทธรณ์อ้างเหตุผลว่าไม่ได้กระทำผิดตามฟ้องหลายประการ โดยอ้างว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเนื่องจากไม่มีการสอบสวนในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา368 เห็นว่าพนักงานสอบสวนยืนยันว่ามีการสอบสวนและแจ้งข้อกล่าวหาจำเลย จึงถือว่ามีการแจ้งข้อกล่าวหาและสอบสวนจำเลยแล้ว
ส่วนที่จำเลยอ้างว่าคำฟ้องโจทก์ขาดองค์ประกอบความผิดและเป็นการฟ้องไม่ชอบเนื่องจากไม่ได้บรรยายข้อเท็จจริง เห็นว่า ฟ้องโจทก์ได้บรรยายชัดเจนแล้วว่าจำเลยทราบคำสั่งให้มารายงานตัวแล้ว แต่จำเลยไม่มาโดยไม่แจ้งเหตุขัดข้อง จึงเป็นการฟ้องที่ทำให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีอยู่แล้ว และเป็นการฟ้องครบองค์ประกอบความผิดตามกฎหมาย
ที่จำเลยอ้าง ว่า คสช.ยึดอำนาจการปกครองประเทศโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งข้อเท็จจริงก็ปรากฏว่าเป็นการยึดอำนาจโดยสำเร็จ คสช.มีฐานะเป็นรัฏฐาธิปัตย์ ที่จำเลยอ้างว่าเป็นเรื่องทฤษฎี แต่ในข้อเท็จจริงอาจนับได้ว่าการทำรัฐประหารเป็นผลสำเร็จ เมื่อมีการแสดงออกผ่านการมีพระบรมราชโองการแต่งตั้งหัวหน้าคณะรัฐประหารให้เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองประเทศ ข้อออ้างดังกล่าวเป็นเพียงความเห็นของพยานจำเลยเท่านั้น และการกล่าวอ้างของจำเลยหลายอย่างที่จำเลยใช้เป็นข้อแก้ตัวในการที่จะต่อต้านคสช. นั้น ข้ออ้างจำเลยจึงไม่สามารถที่จะแก้ตัวได้ อุทธรณ์จำเลยฟังไม่ขึ้น
อีกทั้ง ประกาศ คสช.ฉบับที่25/2557 และ ประกาศคสช.ฉบับที่29/2557 เป็นการกล่าวย้ำให้ผู้ที่ไม่ได้มารายตัว ตามคำสั่งคสช.ที่3/2557 ให้มารายตัวตัว ซึ่งหากจำเลยปฎิบัติตามตาม จำเลยย่อมไม่มีความผิดฐานฝ่าฝืนคำสั่งเจ้าพนักงาน แต่เมื่อจำเลยไม่ปฎิบัติตาม จำเลยจึงมีความผิดตามประกาศ คสช.ฉบับที่25/2557 และประกาศคสช.ฉบับที่29/2557 ซึ่งกรณีนี้หาใช่บทลงโทษที่บัญญัติเพิ่มเติมย้อนหลังจากที่เจ้าพนักงานมีคำสั่งคสช.ที่3/2557 โดยคำสั่งดังกล่าวมีผลมุ่งหมายให้ใช้บังคับแก่บุคคลโดยเฉพาะเจาะจง ไม่ได้เป็นการใช้บังคับแก่บุคคลทั่วไปดังที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยแต่อย่างใดกรณีที่กำหนดให้จำเลยรายงานตัววันที่ 24 พ.ค.57 และเมื่อจำเลยไม่มาจำเลยจึงมีความผิดอุทธรณ์ของโจทก์จึงฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยมีความผิดตามประกาศคสช.เฉพาะที่ประกาศคสช.ฉบับที่25/2557 และประกาศคสช.ฉบับที่29/2557 อีกบทหนึ่งเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานไม่มารายงานตัวตามคำสั่งและประกาศของคสช.อันเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90 ให้จำคุก 2 เดือน ปรับ 3,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษ 1 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ภายหลังฟังคำพิพากษา น.ส.ภาวิณี ชุมศรี ทนายความ กล่าวว่า หลังจากนี้จะยื่นฎีกาเพื่อต่อสู้คดี ต่อไป โดยจะใช้แนวทางการต่อสู้คดีในลักษณะเดิมที่ต่อสู้มาตั้งแต่ศาลชั้นต้น โดยคดีนี้ ศาลชั้นต้นลงโทษปรับ500 ฐานฝ่ายฝืนคำสั่งเจ้าพนักงาน แต่ศาลอุทธรณ์มองว่าเป็นการขัดประกาศ คสช.ทั้ง2ฉบับตามที่โจทก์ยื่นอุทธรณ์มา
กระทั่งวันที่ 5 มิ.ย. 57 เจ้าหน้าที่ได้ร่วมกันจับกุมตัว นายสมบัติ จากบ้านพักที่ อ.พานทอง จ.ชลบุรี จำเลยให้การปฏิเสธ
คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 368วรรคหนึ่ง(เดิม)ให้ปรับ 500 บาท แต่ไม่ได้พิพากษาจำคุก โจทก์และจำเลยยื่นอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้วข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.(ขณะนั้น)และหัวหน้าคสช. มีคำสั่งเรียกบุคคลมารายงานตัวโดยจำเลยเป็นบุคคลตามรายชื่อในลำดับที่ 60 แต่จำเลยไม่มารายงานตัวตามคำสั่งดังกล่าว ที่จำเลยยื่นอุทธรณ์อ้างเหตุผลว่าไม่ได้กระทำผิดตามฟ้องหลายประการ โดยอ้างว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเนื่องจากไม่มีการสอบสวนในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา368 เห็นว่าพนักงานสอบสวนยืนยันว่ามีการสอบสวนและแจ้งข้อกล่าวหาจำเลย จึงถือว่ามีการแจ้งข้อกล่าวหาและสอบสวนจำเลยแล้ว
ส่วนที่จำเลยอ้างว่าคำฟ้องโจทก์ขาดองค์ประกอบความผิดและเป็นการฟ้องไม่ชอบเนื่องจากไม่ได้บรรยายข้อเท็จจริง เห็นว่า ฟ้องโจทก์ได้บรรยายชัดเจนแล้วว่าจำเลยทราบคำสั่งให้มารายงานตัวแล้ว แต่จำเลยไม่มาโดยไม่แจ้งเหตุขัดข้อง จึงเป็นการฟ้องที่ทำให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีอยู่แล้ว และเป็นการฟ้องครบองค์ประกอบความผิดตามกฎหมาย
ที่จำเลยอ้าง ว่า คสช.ยึดอำนาจการปกครองประเทศโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งข้อเท็จจริงก็ปรากฏว่าเป็นการยึดอำนาจโดยสำเร็จ คสช.มีฐานะเป็นรัฏฐาธิปัตย์ ที่จำเลยอ้างว่าเป็นเรื่องทฤษฎี แต่ในข้อเท็จจริงอาจนับได้ว่าการทำรัฐประหารเป็นผลสำเร็จ เมื่อมีการแสดงออกผ่านการมีพระบรมราชโองการแต่งตั้งหัวหน้าคณะรัฐประหารให้เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองประเทศ ข้อออ้างดังกล่าวเป็นเพียงความเห็นของพยานจำเลยเท่านั้น และการกล่าวอ้างของจำเลยหลายอย่างที่จำเลยใช้เป็นข้อแก้ตัวในการที่จะต่อต้านคสช. นั้น ข้ออ้างจำเลยจึงไม่สามารถที่จะแก้ตัวได้ อุทธรณ์จำเลยฟังไม่ขึ้น
อีกทั้ง ประกาศ คสช.ฉบับที่25/2557 และ ประกาศคสช.ฉบับที่29/2557 เป็นการกล่าวย้ำให้ผู้ที่ไม่ได้มารายตัว ตามคำสั่งคสช.ที่3/2557 ให้มารายตัวตัว ซึ่งหากจำเลยปฎิบัติตามตาม จำเลยย่อมไม่มีความผิดฐานฝ่าฝืนคำสั่งเจ้าพนักงาน แต่เมื่อจำเลยไม่ปฎิบัติตาม จำเลยจึงมีความผิดตามประกาศ คสช.ฉบับที่25/2557 และประกาศคสช.ฉบับที่29/2557 ซึ่งกรณีนี้หาใช่บทลงโทษที่บัญญัติเพิ่มเติมย้อนหลังจากที่เจ้าพนักงานมีคำสั่งคสช.ที่3/2557 โดยคำสั่งดังกล่าวมีผลมุ่งหมายให้ใช้บังคับแก่บุคคลโดยเฉพาะเจาะจง ไม่ได้เป็นการใช้บังคับแก่บุคคลทั่วไปดังที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยแต่อย่างใดกรณีที่กำหนดให้จำเลยรายงานตัววันที่ 24 พ.ค.57 และเมื่อจำเลยไม่มาจำเลยจึงมีความผิดอุทธรณ์ของโจทก์จึงฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยมีความผิดตามประกาศคสช.เฉพาะที่ประกาศคสช.ฉบับที่25/2557 และประกาศคสช.ฉบับที่29/2557 อีกบทหนึ่งเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานไม่มารายงานตัวตามคำสั่งและประกาศของคสช.อันเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90 ให้จำคุก 2 เดือน ปรับ 3,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษ 1 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ภายหลังฟังคำพิพากษา น.ส.ภาวิณี ชุมศรี ทนายความ กล่าวว่า หลังจากนี้จะยื่นฎีกาเพื่อต่อสู้คดี ต่อไป โดยจะใช้แนวทางการต่อสู้คดีในลักษณะเดิมที่ต่อสู้มาตั้งแต่ศาลชั้นต้น โดยคดีนี้ ศาลชั้นต้นลงโทษปรับ500 ฐานฝ่ายฝืนคำสั่งเจ้าพนักงาน แต่ศาลอุทธรณ์มองว่าเป็นการขัดประกาศ คสช.ทั้ง2ฉบับตามที่โจทก์ยื่นอุทธรณ์มา