"ประวุฒิ" เผย อาเดม และ ยูซุฟู สองผู้ต้องหาตัวจริงในคดีระเบิดราชประสงค์ ก่อเหตุเพราะแค้นเรื่องการปราบปรามค้ามนุษย์ เสนอ กต.พิจารณาเพิกถอนหนังสือเดินทาง "วรรณา" แล้ว ส่วนศาลทหารสั่งหาชายต่างชาติ สะพายเป้ พิรุธคล้ายเดินสำรวจพื้นที่ ก่อนให้อีโอดี สแกนแต่ไม่พบสิ่งผิดปกติ "ศรีวราห์" สั่งย้ายตำรวจ สน.ลุมพินี 3 นาย ฐานละเลยภาพกล้องวงจรปิด ไม่พบภาพชายสวมเสื้อเหลือง ศาลจังหวัดนาทวีออกหมายจับผู้ต้องหาค้ามนุษย์อีก 2 คน
วานนี้ (27 ก.ย.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ ผู้ช่วยผบ.ตร.และโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงการดำเนินคดีกับนายอาเดม คาราดัก หรือ บิลา เติร์ก มูฮัมหมัด และนายเมียไรลี ยูซุฟู ผู้ต้องหาในคดีระเบิดราชประสงค์ หลังมีการคุมตัวไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพเมื่อวันที่ 26 ก.ย.ที่ผ่านมา ว่า สำหรับผู้ต้องหาทั้งสองได้คุมตัวกลับไปคุมขังที่ เรือนจำชั่วคราว แขวงถนนนครชัยศรี มณฑลทหารบก ที่ 11 แล้ว ขณะนี้เหลือเพียงรอให้พนักงานสอบสวนทำสำนวนสรุปคดีนี้ให้แล้วเสร็จ ก็จะสามารถส่งดำเนินคดีในชั้นศาลได้ทันที พร้อมยืนยันว่าคดีนี้ไม่มีการจับแพะ หรือ เร่งปิดสำนวนคดี เพราะมีพยานหลักฐานครบถ้วนสมบูรณ์ โดยเฉพาะภาพจากกล้องวงจรปิดที่ยืนยันช่วงเวลาตรงกับคำรับสารภาพของผู้ต้องหาทั้งสองคน รวมถึงจุดที่ผู้ต้องหาวางแผนจะไปวางระเบิดบริเวณที่พักรอของผู้โดยสาร ท่าจอดเรือเจ้าพระยาพริ้นเซส ซอยเจริญนคร 61 ช่วงเย็นของวันที่ 16 ส.ค. ซึ่งข้อมูลตรงนี้ไม่เคยปรากฏเป็นข่าวมาก่อน
พล.ต.ท.ประวุฒิ กล่าวว่า ในส่วนผู้ต้องหาคนอื่นๆ ในคดีนี้ยอมรับว่ายังไม่สามารถระบุได้ชัดเจนว่า ว่าได้หลบหนีไปอยู่ในประเทศใด แม้จะมีการข่าวรายงานเข้ามาเป็นระยะ แต่ได้มีการประสานส่งภาพหมายจับไปให้ตำรวจสากลช่วยเฝ้าจับตาดูอีกทางหนึ่งแล้ว ซึ่งหากมีความชัดเจนว่าผู้ต้องหาไปกบดานที่ประเทศใด ก็จะประสานข้อมูลพร้อมขอความร่วมมือให้ทางการประเทศนั้นๆ ช่วยดำเนินการตรวจสอบและติดตามจับกุมให้ ทั้งนี้ ล่าสุดได้ส่งเรื่องให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาเพิกถอนหนังสือเดินทางของนางวรรณา สวนสันต์ ผู้ต้องหาชาวไทย แล้ว
"ส่วนปมเหตุการลงมือวางระเบิด ตำรวจยังคงเชื่อว่ามีมูลเหตุมาจากความแค้นเรื่องนโยบายปราบปรามการค้ามนุษย์อย่างจริงจังของทางการไทย ที่ส่งผลกระทบกับธุรกิจผิดกฏหมาย แต่จะมีมูลเหตุอื่นอีกหรือไม่ยังไม่สามารถระบุได้" โฆษกตร.ระบุ และว่า ในวันที่ 28 ก.ย.นี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะมีการแถลงข่าวสรุปผลการดำเนินคดีนี้อย่างละเอียดอีกครั้งในวันนี้ (28 ก.ย.) เวลา 13.00 น.
*** คุมตัว 2 ผู้ต้องหาบึ้มที่ พัน ร.มทบ.11
พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) กล่าวถึงการควบคุมตัว นายไมไรลี ยูซุฟู และ นายอาเดม คาราดัก สองผู้ต้องหาตามหมายจับศาลทหาร กรุงเทพ เหตุลอบวางระเบิดบริเวณแยกราชประสงค์ และท่าเรือสาทร ที่เรือนจำชั่วคราวแขวงถนนนครไชยศรี พื้นที่กองพันทหารราบมณฑลทหารบกที่ 11 (พัน ร.มทบ.11) ว่า สำหรับมาตรการควบคุมตัวสองผู้ต้องหาดังกล่าว เป็นไปตามบรรทัดฐานการควบคุมดูแลผู้กระทำความผิดตามปกติ ตามมาตรฐานเช่นเดียวกับการคุมขังทั่วไป ส่วนลักษณะการควบคุมตัวเป็นอย่างไรนั้น ตนไม่ทราบในรายละเอียด
สำหรับการรักษาความปลอดภัย ก็เป็นไปตามความจำเป็นของสถานการณ์ อย่างไรก็ตาม เหตุผลที่ใช้เรือนจำเรือนจำชั่วคราว ในพื้นที่ม ทบ.11 เป็นที่คุมขังผู้ต้องหาคดีระเบิดราชประสงค์นั้น เพื่อความสะดวกในการเข้าสืบสวนสอบสวนของเจ้าหน้าที่ อีกทั้งเพื่อความสะดวกในการเบิกตัวออกไปยังพื้นที่ต่างๆ ด้วย
** ส่ง "อีโอดี" สแกนศาลทหาร
วานนี้ (27 ก.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากเจ้าหน้าที่ได้ควบคุมตัว นายอะเด็ม คาราดัก และ นายไมไรลี ยูซุฟู ผู้ต้องหาที่ถูกแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่ม ในคดีพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนฯ โดยนำตัวมาขออำนาจศาลทหารฝากขังผลัดแรก ตั้งแต่วันที่ 26 ก.ย.- 7 ต.ค. จำนวน 12 วัน ก่อนขอรับตัวไปทำแผน ชี้จุดประกอบคำรับสารภาพทั้ง 19 จุดนั้น
ล่าสุด เจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบย้อนหลังพบว่าเมื่อวันศุกร์ที่ 25 ก.ย.ที่ผ่านมา มีชายต้องสงสัยเป็นชาวต่างชาติ (แขกขาว) สวมเสื้อยืดคอกลมสีดำ กางเกงยีนขายาวสีน้ำเงิน สวมแว่นกันแดด สะพานเป้สีดำ สวมรองเท้าผ้าใบ เดินเข้ามาภายในศาล ตรงไปที่ลิฟต์ ก่อนที่จะกดขึ้นไปที่ชั้น 4 และเดินขึ้นไปบนดาดฟ้าประมาณ 1 -2 นาที จากนั้นกลับมาที่ชั้น 4 เดินท่าทางมีพิรุธ สลับถอด และใส่แว่น หลังจากนั้นเดินวนลงมาที่ชั้น 3 เดินไปทางซ้าย ของอาคาร และเดินวนมาทางขวาของอาคาร ก่อนจะเดินกลับมากดลิฟต์ ลงมาที่ชั้น 1 แล้วรีบเดินออกนอกบริเวณศาลไปทันที โดยใช้เวลาทั้งสิ้นประมาณ 8 -10 นาที
พล.ร.ท.กฤษฎา เจริญพานิชย์ รองเจ้ากรมพระธรรมนูญ กล่าวว่าได้รับรายงานตั้งแต่วันศุกร์ที่ผ่านมา เพื่อความไม่ประมาท ตนได้ประสานไปยัง พล.ท.กัมปนาท รุดดิษฐ์ แม่ทัพภาคที่ 1 ในฐานะผู้บัญชาการกองกำลังรักษาความสงบ (กกล.รส.) ได้ส่งกำลังเจ้าหน้าที่ อีโอดี เข้าตรวจสอบทุกชั้นโดยละเอียด ก็ไม่พบสิ่งผิดปกติ หรือสิ่งของที่ถูกวางไว้ในศาลแต่อย่างใด เบื้องต้นคาดว่า น่าจะเป็นนักท่องเที่ยวเดินมาเข้าห้องน้ำ ซึ่งในช่วงเย็นวันดังกล่าวทางกรมศาลทหารกรุงเทพ กรมพระธรรมนูญได้จัดให้มีพิธีอำลาผู้ที่เกษียณอายุราชการ ทำให้มีคนจำนวนมากมาร่วมงาน ทั้งนี้ ศาลทหารกรุงเทพ กรมพระธรรมนูญ มักจะมีบุคคลภายนอกมาขอเข้าห้องน้ำบริเวณชั้นล่าง อยู่เป็นประจำ
"ภาพชายคนดังกล่าวปรากฏชั้นล่าง บริเวณที่ผู้สื่อข่าวมานั่งรอทำข่าว และเขาก็เดินเข้ามาในช่วงที่มีเจ้าหน้าขนเครื่องดนตรี อาหาร เพื่อมาจัดงานเลี้ยงวันเกษียณอายุราชการ ซึ่งในขณะนั้น เราเองก็ไม่แน่ใจว่าเป็นอย่างไร และไม่มั่นใจว่าเป็นชาวต่างชาติหรือไม่ ระบุไม่ได้ หรืออาจจะเป็นนักท่องเที่ยว เพราะบริเวณศาลทหารกรุงเทพ กรมพระธรรมนูญ เป็นสถานที่เปิดให้บุคคลภายนอกเข้ามารับฟังการพิจารณาคดี ตลอดจนคนที่เดินผ่านไปผ่านมาและแวะมาขอใช้ห้องน้ำอยู่เรื่อยๆ โดยเฉพาะผู้หญิง" พล.ร.ท.กฤษฎา กล่าว
เมื่อถามว่า ต่อไปจะเข้มงวดมาตราการรักษาความปลอดภัยโดยเฉพาะกับบุคคลภายนอกหรือไม่ พล.ร.ท.กฤษฎา กล่าวว่า ระบบมาตราการรักษาความปลอดภัยของศาลทหารกรุงเทพ กรมพระธรรมนูญ มีอยู่แล้ว ทั้งเครื่องมือตรวจอาวุธ การแลกบัตรผ่านเข้าออก และสารวัตรทหารก็ดูแลพื้นที่ตลอดเวลา บริเวณรอบนอกและภายในติดกล้องวงจรปิดทุกจุด และระบบรักษาความปลอดภัยของศาลทหารกรุงเทพ กรมพระธรรมนูญ ก็ตรวจเข้มตลอดเวลาอยู่แล้ว
เมื่อถามว่า กังวลหรือไม่ว่า ศาลทหารกรุงเทพ กรมพระธรรมนูญ จะกลายเป็นเป้าเพราะเกี่ยวข้องกับการพิจารณาคดีระเบิด พล.ร.ท.กฤษฎา กล่าวว่าไม่ห่วง เพราะการรักษาความปลอดภัย เราใช้กำลังจากกระทรวงกลาโหม ส่วนการดูแลผู้ต้องหาเป็นหน้าที่พนักงานสอบสวน เพียงแต่ศาลมีหน้าที่พิจารณาคดีเท่านั้น ซึ่งการรักษาความปลอดภัยสถานที่หรือบุคคล เป็นเรื่องปกติ ที่ทางสารวัตรทหาร หรือ กองกำลังรักษาความปลอดภัยดูแลอยู่แล้ว
พล.ร.ท.กฤษฎา ยังกล่าวต่อว่า สำหรับกรณีศาลทหารกรุงเทพ กรมพระธรรมนูญรับฝากขัง นายอาเดม คาราดัก และนายไมไรลี ยูซุฟู ผู้ต้องหาคดีลอบวางระเบิดแยกราชประสงค์ 12 วัน ผลัดแรกเมื่อวันที่ 26 ก.ย.ที่ผ่านมา หากครบกำหนด พนักงานสอบสวน ก็ต้องนำตัวผู้ต้องหามาฝากขังอีกเป็นผลัด 2 เพราะโทษในคดีนี้สูงสุดสามารถฝากขังได้ 7 ผลัด รวม 84 วัน ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าวก็จะมีการเพิ่มกำลังเจ้าหน้าที่มาเสริมบ้าง เพราะในกระทรวงกลาโหม ก็มีกำลังดูแลรักษาความปลอดภัยเต็มสูตรอยู่แล้ว หากมีเหตุการณ์ไม่คาดคิด กำลังตรงนี้พร้อมปฎิบัติการภายใน5
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากเรื่องนี้ กระจายออกไป ทางเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงทั้งทหาร ตำรวจ ได้กระจายกำลังลงในพื้นที่เพื่อติดตามชายต้องสงสัยดังกล่าว เพราะมีลักษณะท่าทางมีพิรุธมาก มีลักษณะท่าทางคล้ายแขกขาว และสะพายเป้ที่แบกดูมีน้ำหนักมาก ทางเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงทั้งในและนอกเครื่องแบบได้กระจายลงพื้นที่ต้องสงสัย ที่คาดว่าบุคคลกลุ่มนี้อาศัยอยู่
** ทนายความอาเดมขอพบลูกความวันนี้
นายชูชาติ กันภัย ทนายความ นายอาเดม คาราดัก เปิดเผยว่า ในวันนี้ (28 ก.ย.) ตนจะเดินทางไปพบกับลูกความ ที่ เรือนจำชั่วคราว มทบ.11 ทั้งนี้ ทราบมาว่า ทางสถานทูตตุรกีประจำประเทศไทย จะส่งล่าม และจนท.ของสถานทูตไปกับตนเองด้วย อย่างไรก็ตาม ทางตุรกี ยังไม่ยอมรับว่า นายอาเดม เป็นคนสัญชาติตุรกี เพราะต้องรอการตรวจสอบที่ชัดเจนอีกครั้งก่อน
อย่างไรก็ตาม กรณีที่คดีของลูกความ ได้ถูกโอนคดีไปยังศาลทหารนั้น ในฐานะทนายความค่อนข้างหนักใจ เนื่องจากศาลทหารแตกต่างจากศาลพลเรือนทั่วไป คือ ไม่มีชั้นอุทธรณ์ ฎีกา ดังนั้น ในการต่อสู้ทางคดี จึงลำบากมากขึ้น เพราะระยะเวลาจะน้อยลงไปด้วย ส่วนการรับสารภาพของลูกความ ที่ระบุว่า เป็นชายเสื้อเหลืองที่วางระเบิดนั้น เรื่องนี้จะยังไม่ขอออกความเห็นใดๆ ทั้งสิ้น จนกว่าจะได้ซักถามกับลูกความ ถึงการรับสารภาพดังกล่าว คาดว่าเมื่อได้พบตัวก็จะทราบรายละเอียดมากยิ่งขึ้น
**มาเลย์ขอ ตม. ตรวจสอบชาวอาหรับ
รายงานข่าวจากพื้นที่ อ.สุไหงโกลก จ.นราธิวาส หลังจากที่ทางสำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำมาเลเซีย ออกประกาศเตือนพลเมืองสหรัฐฯ พยายามหลีกเลี่ยงถนนแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมในกรุงกัวลาลัมเปอร์ เนื่องจากมีข้อมูลด้านข่าวกรองที่เชื่อถือได้ว่า ถนนสายดังกล่าว กำลังตกเป็นเป้าหมายการโจมตีของกลุ่มก่อการร้าย พร้อมประกาศเตือนภัย ถนนจาลัน อัลลอร์ ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวของทั้งชาวมาเลเซีย และชาวต่างชาติ
นอกจากนี้แล้วรัฐบาลประเทศออสเตรเลีย ได้ออกแถลงการณ์ แนะนำพลเมืองออสเตรเลีย ให้หลีกเลี่ยงไปถนนย่านท่องเที่ยวของกรุงกัวลาลัมเปอร์เช่นเดียวกัน โดยระบุว่า อาจมีการก่อการร้ายเป็นภัยคุกคามที่เป็นไปได้ค่อยข้างสูงหลังจากที่ทางการประเทศมาเลเซีย ได้จับกุมสมาชิกกลุ่มหัวรุนแรงหลายคน ซึ่งต้องสงสัยเกี่ยวโยงและพัวพันกับกลุ่มไอเอส ในประเทศซีเรียและอิรัก เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาซึ่งข้อมูลดังกล่าวทางประเทศมาเลเซีย กำลังตรวจสอบข้อเท็จจริง และได้เพิ่มความเข้มให้เจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายทำการลาดตระเวน และเฝ้าระวังเหตุร้ายที่อาจจะเกิดขึ้นบนถนนจาลัน อัลลอร์ และพื้นที่โดยรอบแล้ว
พร้อมกันนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองรันตูปันยัง รัฐกลันตัน ประเทศมาเลเซีย ใช้ความสนิทสนมส่วนตัวประสานกับ พ.ต.อ.กานต์ ธรรมเกษม ผกก.ตม.จ.นราธิวาสเพื่อเพิ่มความเข้มในการตรวจสอบบุคคล โดยเฉพาะกลุ่มประเทศอาหรับ และยานพาหนะ ที่มีความประสงค์จะเดินทางเข้าประเทศมาเลเซีย โดยผ่านด่านพรมแดนด้าน อ.สุไหงโกลก
ซึ่งการปฏิบัติเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง จะทำการตรวจสอบรายชื่อจากหนังสือเดินทางอย่างละเอียด ผ่านเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีการออนไลน์กลุ่มบุคคลที่มีรายชื่อ แบล็กลิสต์ พร้อมทั้งตรวจสอบยานพาหนะทุกชนิด ด้วยการนำหนังสือเดินทางของบุคคลที่มีความประสงค์นำยานพาหนะเข้าเมืองรันตูปันยัง รัฐกลันตัน ประเทศมาเลเซีย มาทำการตรวจสอบผ่านกล้องวงจรปิดในครั้งนี้ด้วย
ส่วนที่บริเวณช่องทางข้ามริมพรมแดนที่ผิดกฎหมาย ตลอด 2 ฟากฝั่งแนวพรมแดนไทย มาเลเซีย ที่มีแม่น้ำสุไหงโกลก เป็นเส้นแบ่งเขตแดนนั้น ทั้งไทยและมาเลเซีย ได้มีการประกาศห้ามบุคคลทั้ง 2 ฟากฝั่งใช้เป็นเส้นทางข้ามแดนไปมาหาสู่กัน เป็นเวลากว่า 1 เดือนแล้ว โดยไม่มีข้อยกเว้น ซึ่งพลจัตวา อาซากายา บินอับดุลลา ผู้บัญชาการกองพลน้อยชายแดน ได้จัดส่งเจ้าหน้าที่ทหารจากกองพลทหารราบที่ 2 สนธิกำลังกับกองพลน้อยตำรวจหน่วยปฏิบัติการทั่วไป เฝ้าจุดช่องทางข้ามทั้ง 8 จุด เพื่อเฝ้าระวังมิให้บุคคลฝ่าฝืนและจะถูกจับกุมดำเนินคดีทันที่ ส่วนฝ่ายไทยก็ได้มีการจัดส่งเจ้าหน้าที่ทหารจากค่ายกัลยาณิวัฒนา ร้อย ร.151 มาปฏิบัติหน้าที่เฝ้าระวังเช่นกัน
***เด้ง 3 ตร.สืบสวนฯ สน.ลุมพินี
วานนี้ (27 ก.ย.) พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผบช.น. ลงนามคำสั่งหนังสือเลขที่ 353/2558 ลงวันที่ 26 ก.ย.58 เรื่องให้ข้าราชการตำรวจไปปฏิบัติราชการ เนื่องด้วยได้รับรายงานจากรองผู้บังคับบัญชาการตำรวจนครบาล กรณีปฏิบัติหน้าที่เจ้าหน้าที่สืบสวนสถานีตำรวจนครบาลลุมพินี เพื่อให้การบริหารงานของกองบัญชาการตำรวจนครบาลเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและไม่ให้เกิดความเสียหายต่อทางราชการ จึงอาศัยอำนาจตามความนัยมาตรา74 แห่ง พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2547 ระเบียบ ก.ต.ช.ว่าด้วยหลักเกณฑ์การปฏิบัติราชการของผู้บัญชาการในฐานะเป็นอธิบดีหรือแทนผู้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2551 และแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่2) พ.ศ.2555 และระเบียบ ตร. ว่าด้วยการสั่งให้ข้าราชการตำรวจไปปฏิบัติราชการภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2552 จึงสั่งการดังนี้
1.พ.ต.ท.อภิชาติ ทองจันดี รองผกก.สส.สน.ลุมพินี
2.พ.ต.ท.ธเนศ มีทอง สว.สส.สน.ลุมพินี
3.พ.ต.ท.วชิราภรณ์ วงศ์บุญ สว.สส.สน.ลุมพินี
โดยให้ทั้ง 3 ไปปฏิบัติราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการกองบัญชาการตำรวจนครบาล(ศปก.น.) มีกำหนด 30 วัน นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป หรือจนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง
มีรายงานข่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับการสั่งย้าย 3 นายตำรวจครั้งนี้ สืบเนื่องจาก ตามที่มีเหตุระเบิดที่ราชประสงคืเมื่อวันที่ 17 ส.ค.58 เวลา 19.00 น. ทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก กองบัญชาการตำรวจนครบาล(บช.น.) และกองบังคับการตำรวจนครบาล5 (บก.น.5) จึงได้กำหนดมาตรการในการติดตามคนร้ายที่มาก่อเหตุ โดยให้แต่ละสถานีตำรวจเข้าตรวจสอบบุคคลชาวต่างชาติตามเป้าหมายและตรวจหาอุปกรณ์ที่ใช้ในการประกอบวัตถุระเบิดในพื้นที่ที่มี แมนชั่น อพาร์ทเมนต์ บ้านเช่า ห้องเช่า ห้องพักที่ชาวต่างชาติพักอาศัย รวมถึงติดตามหาเส้นทางการหลบหนีของคนร้าย โดยตำรวจทั้ง 3 นายอ้างว่าตรวจสอบไม่พบและไม่มีภาพ ต่อมาสอบพบว่าชายเสื้อเหลือง หรือนายอาเดม คาราดัค หรือนายบิลาเติร์ก มูฮัมหมัด เข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าหลังก่อเหตุวางระเบิดที่ห้องน้ำสาธารณะบริเวณสวนลุมพินี ซึ่งเป็นพื้นที่ของ สน.ลุมพินี
***ออกหมายจับคดีค้ามนุษย์อีก 2
วานนี้ (27 ก.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้าคดีค้ามนุษย์โรงฮีนจา ล่าสุด พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 หัวหน้าฝ่ายสอบสวน เปิดเผยว่า ศาลจังหวัดนาทวีได้ออกหมายจับผู้ต้องเพิ่มเติมอีก 2 คน ตามที่คณะทำงานได้ขอหมายจับไป เนื่องจากมีพยาน และหลักฐานเชื่อมโยงไปถึง ประกอบด้วย นายชลธิชา ไชยมณี อายุ 48 ปี ชาว ต.ปาดังเบซาร์ อ.สะเดา อดีต อส.อำเภอสะเดา และคนขับรถนายอำเภอสะเดา และนายซอเนียง อานู อายุ 45 ปี ชาวพม่า ทำให้ขณะนี้มีการออกหมายจับผู้ต้องไปแล้ว 155 คน ได้ตัว 90 คน หลบหนี 92 คน
ในจำนวนผู้ต้องหาคนสำคัญที่ยังหลบหนี มี นายสุพัฒน์ สันติปิยกุล หรือโกต๊อก นักธุรกิจพันล้านชาว ต.ปาดังเบซาร์ อ.สะเดา จ.สงขลา เครือข่ายค้ามนุษย์ใน ต.ปาดังเบซาร์ ซึ่งจากเบาะแสพบว่าหลบหนีไปยังประเทศมาเลเซีย ซึ่งเจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการประสานทางการมาเลเซียช่วยจับกุม และส่งตัวมาดำเนินคดี
ส่วนนายทหารอีก 4 นาย ซึ่งเป็นทหารบก 3 นาย และทหารเรือ 1 นาย ทั้ง พ.อ.ณัฐสิทธิ์ มากสุวรรณ ร.อ.วิสูตร บุนนาค ร.อ.สันทัด เพชรน้อย และ น.ท.กัมปนาท สังข์ทองจีน ได้รับการประสานจากต้นสังกัดแล้วว่า เตรียมส่งตัวมาดำเนินคดีในอีก 1-2 สัปดาห์ แต่ยังไม่มีการกำหนดวันเวลา และสถานที่ที่แน่นอน ซึ่งผู้ต้องหาที่ถูกออกหมายจับถูกแจ้งข้อหา 13 ข้อหา และบางส่วนถูกแจ้งข้อหาฟอกเงินด้วย
พล.ต.ต.ปวีณ เปิดเผยว่า สำหรับคดีค้ามนุษซึ่งเจ้าหน้าที่ดำเนินการต่อเนื่องมาเกือบ 5 เดือน คาดว่าภายในวันที่ 29 ก.ย. จะสามารถสรุปสำนวนทั้งหมดส่งให้อัยการสูงสุดพิจารณาได้.