ASTVผู้จัดการรายวัน-"จักรทิพย์" ประสานตำรวจสากลล่าตัว "อีซาน" ตัวการวางระเบิดราชประสงค์และท่าน้ำสาทร หลังทราบข่าวหนีไปกบดานที่บังคลาเทศ พร้อมหาหลักฐานมัดตัวก่อนออกหมายจับ "ยูซุฟู"ให้การ ปัดรู้จักชายเสื้อเหลือง แค่เอาระเบิดไปส่ง แต่รู้จักชายเสื้อฟ้าชื่อ "ซูแบร์" ตำรวจนำตัวทำแผน 12 จุด "ประวุฒิ"เผยคำรับสารภาพตรงตามหลักฐานที่มี "สมยศ"ยังไม่โยงก่อการร้ายข้ามชาติ "บิ๊กป้อม"เผยเครือข่ายยังมีอีก "วิษณุ"ชี้ขึ้นศาลทหารได้ คสช.สั่งร้านค้าปุ๋ยช่วยสอดส่อง
พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ด้านความมั่นคง ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีระเบิดศาลท้าวมหาพรหม แยกราชประสงค์และท่าน้ำสาทร เปิดเผยว่า จากการซักถามผู้ต้องหาในขบวนการนี้ ทราบว่า นายอาบูดูซาตาร์ อบูดูเระห์มาน หรืออีซาน เป็นระดับหัวหน้าขบวนการที่เชื่อว่าใหญ่สุดในการก่อเหตุระเบิดศาล ซึ่งตำรวจกำลังตามแกะรอยเบาะแสหลังมีข่าวว่าหลบหนีออกประเทศไปแล้ว โดยจะให้ตำรวจสากลประสานไปที่ประเทศบังกลาเทศ หลังมีข่าวว่านายอีซานเดินทางไปจริง
"ขณะนี้กำลังตรวจสอบเส้นทางการเงินที่พบว่าถูกโอนมาจากต่างประเทศว่ามีการนำมาสนับสนุนในการก่อเหตุหรือไม่ ส่วนคำให้การของผู้ต้องหาในขบวนการนี้ ให้การเป็นประโยชน์ สำหรับชายเสื้อเหลืองที่เป็นมือระเบิดนั้น ยังมั่นใจว่าจะจับกุมตัวได้ เพราะมีพยานหลักฐานที่ตนทำกับมือ แต่ยืนยันว่าขณะนี้ยังไม่มีการควบคุมตัวแต่อย่างใด"
***หาหลักฐานก่อนออกหมายจับ"อีซาน"
รายงานข่าวแจ้งว่า การเตรียมขออนุมัติศาลจังหวัดมีนบุรีออกหมายจับผู้ต้องหาที่ถูกซัดทอดคนล่าสุด คือ นายอิซาน หรือ นายอาบูดูซาตาร์ อบูดูเระห์มาน อายุ 28 ปีนั้น ยังไม่สามารถออกหมายจับได้ เนื่องจากพยานหลักฐานมีเพียงคำให้การของนายเมียไรลี ยูซุฟู ทางพนักงานสอบสวนต้องรวบรวมหลักฐานอื่นๆ จึงจะสามารถออกหมายจับได้
ส่วนนายอิซาน น่าเชื่อว่าหลบหนีไปที่ประเทศบังกลาเทศ เพื่อเดินทางไปประเทศอื่นๆ ต่อ และไม่สามารถยืนยันได้ว่าประเทศปลายทางสุดท้ายที่นายอิซานหลบหนีไปคือที่ใด
***"ยูซุฟู"รับรู้จักชายเสื้อฟ้ามือบึ้มสาทร
รายงานข่าวแจ้งอีกว่า สำหรับการสอบปากคำนายไมไรลี ยูซุฟู ผู้ต้องหาในคดีระเบิดราชประสงค์ และสะพานท่าเรือสาทร ได้ให้การว่า ไม่ได้เป็นคนลงมือกดระเบิดที่ศาลท้าวมหาพรหม แต่ยอมรับว่ามีส่วนเกี่ยวพันกับคดี โดยเป็นผู้นำระเบิดมาส่งให้ชายเสื้อเหลือง และยืนดูขณะเกิดเหตุการณ์ระเบิดที่ราชประสงค์ และขณะนี้ ยังไม่มีหลักฐานใดสามารถยืนยันได้ว่านายยูซุฟูเป็นผู้ลงมือกดระเบิด เพราะต้องรอผลตรวจจากอีโอดีว่าระเบิดดังกล่าวเป็นการจุดระเบิดจากนาฬิกา โทรศัพท์มือถือ หรือใช้สายจุดชนวน
นอกจากนี้ จากคำให้การที่นายยูซุฟู บอกว่าเคยพบกับนายอิซาน ที่หอพักพูลอนันต์อพาร์ทเม้นท์ เขตหนองจอก และไมมูณาการ์เด้นท์โฮม เขตมีนบุรี รวมถึงมีพยานในหอพักทั้งสองแห่งยืนยันว่าเคยพบนายอิซาน ก็สามารถแจ้งข้อหาได้เพียงร่วมกันมีวัตถุระเบิดโดยที่นายทะเบียนไม่สามารถอนุญาตออกให้ได้ไว้ในความครองครอง ส่วนการแจ้งข้อหาผู้จ้างวาน ยังไม่สามารถสรุปได้ว่าเป็นเรื่องจริง เพราะเป็นเพียงคำให้การของนายยูซุฟู เท่านั้น
พร้อมกันนี้ นายยูซุฟู ยังให้การอีกว่าเคยรู้จักกับชายเสื้อฟ้า และพบปะกันประมาณ 5 ครั้ง ซึ่งรู้แต่เพียงว่าชื่อซูแบร์ แต่ไม่เคยรู้จักกับชายเสื้อเหลืองมาก่อน เพิ่งเคยเห็นหน้ากันตอนที่นำระเบิดไปส่งให้ที่หัวลำโพง
ทั้งนี้ ข้อมูลระบุอีกว่า นายยูซุฟู มีความชำนาญเส้นทางในกรุงเทพมหานคร (กทม.) สามารถนั่งรถเมล์ สามล้อ แท็กซี่ ไปในสถานที่ต่างๆ ได้เอง
***นำตัวทำแผนรวม 12 จุด
วันเดียวกันนี้ ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ ผู้ช่วย ผบ.ตร. พร้อมด้วย พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผบช.น. พล.ต.ต.ภัคพงศ์ พงษ์เภตรา รอง ผบช.น. พล.ต.ต.สมบัติ มิลินทจินดา ผบก.สส.บช.น. พล.ต.ต.ชยพล ฉัตรชัยเดช ผบก.น.6 พล.ต.ต.สมประสงค์ เย็นท้วม ผบก.น.3 และเจ้าหน้าที่ตำรวจอรินทราชและทหารกว่า 100 นาย นำตัวนายยูซุฟู ไปชี้จุดประกอบคำรับสารภาพทั้งหมด 4 แห่ง จำนวน 12 จุด
ทั้งนี้ ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ขอความร่วมมือจากสื่อมวลชนทุกสำนักข่าวให้เว้นระยะห่างจากผู้ต้องหา 15-20 เมตร
โดยสถานที่แรกบริเวณห้างเซ็นทรัลเวิลด์ จุดที่ 1 เริ่มที่หน้าวัดปทุมวนาราม เป็นจุดที่นายยูซุฟูนั่งรถสามล้อมาจากหัวลำโพง และลงเดินเท้าต่อเลียบทางประตูหลังห้าง Zen กระทั่งถึงประตูหน้าห้าง Zen เพื่อชี้จุดวางระเบิดที่แยกราชประสงค์
โดยในระหว่างนำตัวนายยูซุฟูไปชี้จุดประกอบคำรับสารภาพ ได้เกิดเหตุวุ่นวายขึ้น เมื่อมีผู้สื่อข่าวจากสำนักข่าวต่างประเทศไม่แสดงบัตรผู้สื่อข่าวในการทำข่าว ทำให้ตำรวจต้องนำตัวไปค้นตัวบริเวณด้านนอกการชี้จุด และเกิดปากเสียงกับเจ้าหน้าที่เล็กน้อย แต่เมื่อค้นตัวผู้สื่อข่าวคนดังกล่าวก็พบบัตรประจำตัวผู้สื่อข่าว เจ้าหน้าที่จึงตักเตือนและบอกให้แสดงบัตรระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ทุกครั้ง
ต่อมาเมื่อถึงจุดที่ 5 ลานหน้าห้างเซ็นทรัลเวิลด์ บริเวณลานน้ำพุ นายยูซุฟูมาเพื่อรอถ่ายรูประหว่างเกิดเหตุ และหลังเกิดเหตุ ซึ่งนายยูซูฟูอ้างว่าไม่ได้ถ่ายรูป เนื่องจากตอม่อบังอยู่ จากนั้นนายยูซุฟูจึงเดินมาบริเวณหน้าห้างเซ็นทรัลเวิลด์ตรงข้ามบิ๊กซี ราชดำริ เพื่อเรียกแท็กซี่ไปลงห้างประตูน้ำเซ็นเตอร์
สถานที่ ที่ 2 ห้างประตูน้ำเซ็นเตอร์ คือ จุดที่ 7 บริเวณหน้าห้างประตูน้ำเซ็นเตอร์เป็นจุดที่นายยูซุฟูเรียกรถแท็กซี่ไปรามคำแหง เพื่อไปต่อรถเมล์กลับมีนบุรี
สถานที่ที่ 3 สถานีรถไฟหัวลำโพง คือ บริเวณสะพานข้ามคลองผดุงกรุงเกษม ข้างสถานีรถไฟหัวลำโพง บริเวณสะพานหนึ่งข้างสถานีหัวลำโพงเป็นจุดที่ชายเสื้อเหลืองมายืนรอนายยูซุฟู และจุดต่อมา บริเวณม้านั่งระหว่างสะพานหนึ่งกับสะพานสองข้างสถานีหัวลำโพง เป็นจุดที่นายยูซุฟูวางสับเปลี่ยนกระเป๋าให้ชายเสื้อเหลือง หลังจากนั้น นายยูซุฟูและชายเสื้อเหลืองแยกย้านกันหน้าสะพานที่ 2 ข้างหัวลำโพงโดยนายยูซุฟูนั่งสามล้อไปลงยังวัดปทุมวนาราม
สถานที่สุดท้ายซอยรามคำแหง 22 คือ จุดที่ 12 จุดที่นายยูซุฟูนั่งแท็กซี่จากหน้าห้างประตูน้ำเซ็นเตอร์มายังหน้าธนาคารกรุงเทพ สาขาหัวหมาก ซอยรามคำแหง 22 จุดดังกล่าวจากแนวทางการสืบสวนเชิงลึกประกอบกับภาพวงจรปิดในวันที่ 5 ส.ค. พบว่านายยูซุฟูและนายอิซานที่ถูกซัดทอดว่าเป็นผู้ว่าจ้างเดินทางมายังธนาคารเพียงแค่สองคนเพื่อมาทำธุรกรรมทางการเงินโดยการโอนเงินจำนวนหนึ่ง
หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่จะนำตัวนายยูซุฟูไปขออำนาจศาลฝากขังที่ศาลจังหวัดมีนบุรีช่วงบ่าย
***เผยคำรับสารภาพตรงกับหลักฐานที่มี
พล.ต.ท.ประวุฒิ กล่าวว่า หลังนำตัวนายยูซุฟูชี้จุดที่หัวลำโพง ซึ่งเป็นจุดที่แยกย่ายกับชายเสื้อเหลืองหลังแลกกระเป๋า พบว่า ในจุดนี้เป็นจุดที่นายยูซุฟูระบุว่าเป็นจุดที่ทั้ง 2 คนนัดพบกันเพื่อสลับกระเป๋าเป้ที่คาดว่าบรรจุระเบิดกัน โดยนายยูซุฟูให้การว่าในกระเป๋าใบที่นำมาให้ชายเสื้อเหลืองนั้น มีน้ำหนักประมาณ 3-4 กิโลกรัม นำมาจากย่านหนองจอก จึงคาดว่าน่าจะมีระเบิดอยู่ภายใน ก่อนทั้งคู่จะแยกย้ายกัน โดยชายเสื้อเหลืองแยกไปขึ้นรถสามล้อไปแยกราชประสงค์ ขณะที่นายยูซุฟูแยกไปขึ้นรถสามล้อไปวัดปทุมวนาราม ก่อนจะเดินต่อไปยังหน้าเซ็นทรัลเวิลด์ เนื่องจากได้รับคำสั่งให้ถ่ายรูปหลังเกิดระเบิด แต่นายยูซุฟูอ้างว่ามีตอม่อบังจึงไม่สามารถถ่ายรูปได้ ก่อนจะไปยังประตูน้ำ คำรับสารภาพนั้น มีความสอดคล้องกับหลักฐานและคำให้การของพยาน ทั้งนี้ นายยูซุฟูยังไม่ได้รับสารภาพถึงขั้นว่าเป็นผู้ประกอบระเบิดแต่อย่างใด
***"สมยศ"ยันไม่เชื่อมโยงก่อการร้ายข้ามชาติ
พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) กล่าวถึงความคืบหน้าคดีวางระเบิดแยกราชประสงค์จะสามารถจบลงที่นายอีซานเป็นคนสุดท้ายหรือไม่ว่า การพูดถึงผู้บงการ เป็นเรื่องยากที่จะให้ยืนยันตอนนี้ เพราะหลายอย่างที่เป็นข่าว ก็ไม่ทราบที่มา เช่น ข่าวการจับผู้ต้องสงสัยเพิ่มเติมได้ที่ชายแดนภาคใต้อีก 2 คน ขณะนี้ยังไม่มีการจับกุม จะให้พูดอย่างไร ตนจะตอบหรือยืนยันอะไรได้ก็ต่อเมื่อมีพยานหลักฐานที่ชัดเจน
ส่วนคดีนี้ เป็นคดีก่อการรายหรือไม่นั้น พล.ต.อ.สมยศ กล่าวว่า มันไม่ใช่ก่อการร้ายข้ามชาติ มันเป็นเหตุก่อความรุนแรง แต่ไม่เชื่อมโยงก่อการร้ายข้ามชาติ การก่อการร้ายข้ามชาติจะมีประเด็นหรือเงื่อนไขที่บอกว่าเป็นก่อการร้ายข้ามชาติ จะต้องมีองค์กร และกระบวนการ
เมื่อถามอีกว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ติดต่อกับประเทศของนายอิซาน ที่ถูกนายยูซุฟู ซัดทอด แล้วหรือไม่ พล.ต.อ.สมยศ กล่าวว่า ยังไม่ทราบว่าเป็นชนชาติใด จะติดต่อประเทศไหน พวกที่ก่อเหตุบางครั้งไม่รู้จักกัน หรืออาจจะคุ้นหน้า แต่ไม่รู้จักว่าเป็นใคร ซื่ออะไร หรือแม้แต่ตัวผู้ต้องสงสัยที่ถูกควบคุมตัวสามารถยึดพาสปอร์ตได้ ก็เป็นของปลอม สิ่งที่พูดว่า เป็นชาตินั้น ชาตินี้ จริงหรือไม่ก็ไม่ทราบ ถ้าไม่มีพยานหลักฐาน หรืออะไรมัดตัวได้จนปฏิเสธไม่ได้ เขาจะไม่พูด
"สิ่งที่ผู้ต้องสงสัยพูด อย่าเพิ่งเชื่อ อย่าใช้ความเร็วในการนำเสนอข่าว บางครั้งไม่ตรงกับความเป็นจริง อย่างแท็กซี่ที่เป็นพยานคนไทย วันหนึ่งพูดอย่าง วันหนึ่งพูดอีกอย่าง พอซักหนักเข้า บอกมึน จำอะไรไม่ได้ แล้วทีนี้ชาวต่างชาติบางทีไม่รู้จักด้วยว่า ตรงนั้นชื่ออะไร ต้องเอาตัวไปสอบสวนให้ยืนยันว่าตรงนี้ใช่ไหม มันถึงต้องใช้เวลา การดำเนินคดี หรือการแจ้งข้อกล่าวหา ไม่ใช่แต่เพียงคำให้การหรือคำบอกเล่า แล้วเป็นที่ยุติ มันจะต้องมีพยานหลักฐานหลายๆ อย่างมาประกอบกัน สิ่งที่ผู้ต้องหา ผู้ต้องสงสัย หรือพยานพูด บางครั้งเชื่อได้บ้าง เชื่อไม่ได้บ้าง อย่ารีบด่วนสรุป มันเป็นเรื่องที่ละเอียด ลึกลับซับซ้อน" ผบ.ตร.กล่าว
***ฉะ ตม.ปล่อยผู้ต้องสงสัยเข้าออกไม่รู้กี่ครั้ง
พล.ต.อ.สมยศ กล่าวถึงกรณีพฤติกรรมตำรวจตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ที่กระทบต่อภาพลักษณ์สำนักงานตำรวจแห่งชาติว่า ตนได้ทำบันทึกถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีแล้ว เพราะอย่างกรณีผู้ต้องสงสัยในคดีนี้ เดินทางเข้าออกในประเทศไทยไม่รู้ตั้งกี่ครั้งแล้ว แต่ไม่มีการตรวจสอบ
"ที่ทำบันทึกถึงนายกรัฐมนตรี ยังไม่ระบุถึงตัวบุคคล หากผมรู้บุคคล ผมไม่รอท่านนายกฯ แล้ว ผมชัวะเลย ผมสั่งการ พล.ต.ท.ศักดา ชื่นภักดี ผบช.สตม.ในห้องประชุมเมื่อวันที่ 7 ก.ย. ให้ดำเนินการแล้ว จะบอกว่าไม่รู้ไม่ได้ ท่านอาจอยู่ข้างบนไม่รู้เห็น แต่ต้องแก้ไข ที่ประชุมในวันนั้น ผมพูดถึงพฤติกรรมต่างๆ ไม่มีตำรวจ ตม.คนไหนเถียงผมสักแอะ นั่งเป็นนกปากเจ็บหมดเลย"พล.ต.อ.สมยศ กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า ในวงการตำรวจพูดกันว่าตำรวจ สตม.ล้วนเป็นคนที่มีเส้นสาย เป็นคนใกล้ชิดของอดีตผู้บังคับบัญชาระดับสูง ผบ.ตร.กล่าวว่า ก็นั่นสิ ตนจึงต้องบันทึกถึงนายกรัฐมนตรี เรื่องนี้หากกลัวตนคงไม่ทำ เพราะทำแล้วไม่ใช่แค่การทิ้งทวน แต่คือการทิ้งปรมาณู ทิ้งทวนตายทีละศพ แต่ทิ้งปรมาณูตายทั้งพวง
***ชี้ขึ้นศาลทหารได้หากเข้าเกณฑ์
เมื่อถามถึงกระแสข่าวจะดำเนินคดีดังกล่าวในศาลทหาร พล.ต.อ.สมยศ กล่าวว่า นายกฯ ก็บอกแล้วว่า ไม่จำเป็นต้องขึ้นศาลทหาร แต่หากมันเข้าหลักเกณฑ์ของศาลทหาร ก็ต้องขึ้น เพราะเป็นกรณีก่อเหตุรุนแรง ใช้วัตถุระเบิดอาวุธสงคราม ตนก็ไม่กล้าที่จะสรุป เพราะคนที่จะสรุปว่าจะขึ้นศาลไหน ไม่ใช้เจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่ต้องดูสำนวนที่พนักงานสอบสวนส่งไปยังอัยการ แล้วอัยการจะเป็นผู้ชี้ว่าต้องขึ้นศาลไหน
เมื่อถามว่าการขึ้นศาลทหารจะดีกว่าหรือไม่ พล.ต.อ.สมยศ กล่าวว่า เลือกไม่ได้ว่าขึ้นศาลอะไรดีกว่ากัน สุดท้ายต้องอยู่ที่กฎเกณฑ์กติกา ขณะนี้ยังไม่ได้ข้อสรุปว่าผู้ต้องสงสัยจะต้องขึ้นศาลไหน และไม่ทราบว่าจะใช้เวลานานเท่าไร เพราะกระบวนสอบสวนยังไม่ได้ข้อยุติ
***ยังไม่รีบด่วนสรุปสาเหตวางระเบิด
เมื่อถามว่า ขณะนี้มีการออกหมายจับผู้ต้องสงสัย 11 ราย และจับกุมได้ 2 ราย จะสามารถสรุปสาเหตุได้หรือยัง พล.ต.อ.สมยศ กล่าวว่า ต้องให้ชัดเจนก่อน และต้องสอบปากคำทุกคนแล้วเอาพยานหลักฐานมาเชื่อมโยงกันว่าจะเป็นเรื่องใดก่อนถึงจะสรุป เพราะถ้ารีบด่วนสรุป อาจจะเสียหายผิดทาง ซึ่งหากผิดทางจะกระทบกับประเทศที่เราไปพูดถึง เพราะพาสปอร์ตก็ปลอม และไม่สามารถตรวจสอบจากประเทศต้นทางได้ เพราะเขาไม่เกี่ยว
เมื่อถามว่าติดต่อ น.ส.วรรณา สวนสัน ได้หรือยัง พล.ต.สมยศ กล่าวว่า ตอนแรกบอกว่าอยู่ประเทศตุรกี ตอนนี้ก็ไม่รู้อยู่ที่ไหน ตนก็อยากรู้ ส่วนจะต้องมีการจัดทนายความให้กับผู้ต้องสงสัยหรือไม่นั้น แล้วแต่ว่าเขาจะร้องขอมาหรือไม่ แต่คดีร้ายแรงต้องมีการจัดหาทนายให้ ซึ่งสภาทนายความ จะเป็นผู้ดำเนินการ
**** "บิ๊กป้อม"เผยเครือข่ายบึ้มยังมีอีก
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม กล่าวถึงความคืบหน้าสืบสวนหาผู้บงการคดีระเบิด ที่ศาลท้าวมหาพรหม สี่แยกราชประสงค์ และสะพานสาธร ทั้งในและนอกประเทศ ว่า มีความเชื่อมโยงและรู้ตัวบุคคล แต่ไม่รู้ว่ามีจุดประสงค์อะไรบ้าง เพราะมีความเชื่อมโยงกันหลายคน ซึ่งไม่สามารถพูดได้ จากต่างประเทศก็มี
เมื่อถามว่า สรุปว่าเป็นเรื่องการเมืองภายในหรือภายนอกประเทศ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ยังบอกไม่ได้ และไม่อยากบอก ยังตัดประเด็นใดทิ้งไม่ได้
"เหตุระเบิดที่เกิดขึ้นเสียหายมาก มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจ และการท่องเที่ยว ส่งผลต่อความเชื่อมั่นที่มีต่อรัฐบาล ตอนนี้ก็เริ่มกลับคืนมาแล้ว เราก็พยายามจับจนได้ แต่ต้องสืบเครือข่ายให้ได้ให้หมด เพราะไม่ใช่ทำแค่สองถึงสามคนเท่านั้น ตอนนี้ออกหมายจับไปสิบคนแล้ว ก็น่าจะมีเพิ่มอีก" พล.อ.ประวิตรกล่าว
** "วิษณุ"ชี้คดีระเบิดขึ้นศาลทหารได้
นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีการดำเนินคดีกับผู้ต้องหาวางระเบิด สี่แยกราชประสงค์ว่า สามารถนำขึ้นศาลทหารได้ ถ้าเป็นความผิดตามพ.ร.บ.อาวุธปืน วัตถุระเบิด ตนขอตอบแค่นี้ว่า ถ้าเป็นความผิดนี้มันเข้าข่าย แต่ตนไม่รู้ว่าจะตั้งข้อหาอะไร
เมื่อถามว่า เกี่ยวกับว่าผู้ต้องหาสัญชาติอะไรหรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ไม่เกี่ยว ตามประกาศ คสช. บอกไว้แล้วว่า ความผิดที่ขึ้นศาลทหารมี 4 ประเภท 1.ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 2.ความผิดตาม พ.ร.บ.อาวุธปืน 3.ความผิดฐานขัดคำสั่ง คสช. และ 4.ความผิดความมั่นคง
เมื่อถามว่าหากนำขึ้นศาลทหารแล้วการพิจารณาคดีจะเร็วกว่าหรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า มันไม่ได้เร็วโดยนิตินัย เพราะเหมือนกันหมด แต่มันจะเร็วโดยพฤตินัย เพราะคดีที่ขึ้นศาลทหารนั้น มีน้อย ฉะนั้นการพิจารณา สืบพยาน จะทำได้เร็วกว่าคดีที่ไปฟ้องปกติ เพราะคิวมันยาว คดีมันไปเยอะ ขนาดคดีเช็คเด้ง ยังไปศาลปกติเลย มันไปต่อคิวกัน แต่ศาลทหารความที่คดีมันน้อย เรื่องเข้ามาน้อย โอกาสที่จะสืบพยานเช้า บ่าย พรุ่งนี้ มะรืนนี้ มันก็ทำได้ คดีอื่นมันทำแบบนี้ยาก ส่วนอย่างอื่นก็ไม่ได้แตกต่างกันเท่าไร ทนายก็สามารถมีได้
***สั่งโรงแรมลงทะเบียนต่างชาติเข้าพัก
นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สิ่งที่ต้องทำต่อไป คือ การขอความร่วมมือกับโรงแรมที่พักที่มีบุคคลต่างชาติเข้าพัก รวมถึงคอนโด อพาร์ทเม้นท์ต่างๆ ต้องแจ้งให้ชาวต่างชาติแสดงหนังสือเดินทางกับเจ้าหน้าที่เพื่อบันทึกข้อมูล
ส่วนระบบการตรวจสอบคนเข้าเมือง ต้องมีการปรับปรุง และต้องมีความทันสมัย ต้องรู้ให้ได้ว่าหนังสือเดินทางจริงหรือปลอม และจะต้องสามารถระบุตัวตนของผู้เข้าออกประเทศได้ แม้จะเป็นบุคคลระดับวีไอพีขนาดไหน ก็ต้องมีการตรวจสอบหนังสือเดินทาง และสแกนข้อมูลลงในฐานข้อมูล
***ขอความร่วมมือร้านขายปุ๋ยช่วยสอดส่อง
พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้แถลงผ่านโทรทัศน์ร่วมการเฉพาะกิจว่า จากการทำแผนประกอบคำรับสารภาพ พบว่าผู้ต้องหาสามารถซื้อสารเคมีและอุปกรณ์ที่ใช้ในการประกอบวัตถุระเบิดได้จากร้านจำหน่ายปุ๋ยและเคมีภัณฑ์ทั่วไป ดังนั้น เพื่อเป็นการช่วยป้องกันมิให้ผู้ไม่ประสงค์ดีสามารถจัดหาอุปกรณ์ในการก่อเหตุได้ง่าย จึงขอความร่วมมือผู้ประกอบการร้านจำหน่ายปุ๋ยและเคมีภัณฑ์ในการช่วยเหลือทางราชการด้วยการเฝ้าระวังเพื่อป้องกันเหตุอันไม่พึงประสงค์ เช่น การติดตั้งกล้องวงจรปิดภายในร้าน การสังเกตและจดจำผู้ซื้อที่มีลักษณะท่าทีน่าสงสัย การจัดซื้อปุ๋ยเคมีที่อาจนำไปประกอบเป็นวัตถุระเบิดได้ อาทิ แอมโมเนียมไนเตรท โปรเตสเซียมคลอเรต เป็นต้น และหากพบลูกค้าที่น่าสงสัยขอให้แจ้งให้เจ้าหน้าที่ทราบทันที
***นายกฯสั่งดูแลคนไทยในตุรกี
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. กล่าวถึงเหตุการณ์ชุมนุมประท้วงชาวเคอร์ดิหลายเมืองในตุรกี ซึ่งมีการทำลายทรัพย์สิน ที่พักอาศัย ซึ่งที่พักอาศัยของคนไทยในเมือง Alanyaถูกลูกหลงไปด้วย ว่า ได้มอบหมายให้สถานเอกอัครราชทูตไทยในตุรกีไปดูแลแล้ว โดยเฉพาะคนไทยที่อยู่อาศัยในตุรกี และอยากขอความร่วมมือสื่ออย่าเอาเหตุผลตรงนี้มากดดัน และเพิ่มความขัดแย้ง มันไม่เกิดประโยชน์ เพราะไทยกับตุรกีมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน เป็นมิตรประเทศกัน