เมื่อวานนี้(24 มี.ค.) พระเมธีธรรมาจารย์ (ประสาร จนฺทสาโร) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ราชวรมหาวิหาร ได้โพสต์เฟซบุ๊กเรื่อง "กิจนิมนต์ที่จะต้องมีระยะเวลาและเงื่อนไขอื่นเป็นตัวกำหนด" โดยระบุว่า
"กว่าสองสัปดาห์ที่ผ่านมา อาตมารับนิมนต์พิเศษจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในเรื่องการยุติการเคลื่อนไหวใดๆ เพื่อให้เกิดความสบายใจและความสงบเรียบร้อยของทุกฝ่าย
โดยนายกรัฐมนตรีย้ำว่า ถ้าทุกคนทุกฝ่ายยุติการเคลื่อนไหวใดๆ กระบวนการการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชซึ่งอยู่ในขั้นตอนการดำเนินการของรัฐบาลก็จะเดินหน้าไปได้อย่างไม่มีปัญหาติดขัดใดๆ
สอดรับกับคำให้สัมภาษณ์ ต่างกรรมต่างวาระของท่านรองนายกรัฐมนตรี (พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ว่า ถ้าเรื่องไม่สงบ ก็จะยังไม่ดำเนินการ
ในเวลานี้ชัดเจนแล้วว่า ศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทยพร้อมภาคีเครือข่ายได้แสดงเจตจำนงชัดเจนว่า ต้องการความสงบ ไม่ประสงค์จะก่อปัญหาใดๆ และยังปรารถนาอย่างยิ่งให้กระบวนการที่ชอบด้วยกฎหมาย จารีตประเพณีโดยไม่ขัดหรือแย้งกับพระธรรมวินัย เดินหน้าไปได้
วันนี้ชัดเจนว่า กิจนิมนต์พิเศษ ซึ่งเป็นความปรารถนาอันดีงามของท่านนายกรัฐมนตรีนั้น มีเพียงอาตมา ศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทยและภาคีเครือข่ายเท่านั้นที่รับนิมนต์อยู่ฝ่ายเดียว
รับอยู่ฝ่ายเดียวจริงๆ
ในขณะที่อีกฝ่าย (ฝ่ายต่อต้านการสถาปนาฯ) ไม่ยินดียินร้ายใดๆ ต่อคำอาราธนาของท่านนายกรัฐมนตรี
ที่หนักไปกว่านั้น รัฐบาลโดยรัฐมนตรีร่วมคณะรัฐมนตรี ของท่านนายกรัฐมนตรี กลับไม่ใส่ใจในการนำเอาแนวทางของหัวหน้ารัฐบาลไปปฏิบัติ ทำงานสวนนโยบายของผู้นำแบบไม่เกรงใจ ด้วยการสาดน้ำมันถังใหญ่เข้าไปในกอง
เพลิงก็ยิ่งเพิ่มความร้อนระอุขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
ในส่วนของรัฐบาลนั้น โดยรวมกลับไม่มีท่าทีใดๆ ที่จะห้ามปรามรัฐมนตรีร่วมคณะรัฐมนตรีด้วยกันและฝ่ายต่อต้านอื่นๆ
ที่สำคัญมากไปกว่านั้นก็คือ รัฐบาลกลับไม่ได้แสดงอะไรให้ผู้คนทั้งประเทศได้มองเห็นว่ารัฐบาลนี้มีความเคารพต่อคณะสงฆ์ทั้งสังฆมณฑลและพร้อมจะสนองตอบต่อมติมหาเถรสมาคมที่เป็นไปโดยชอบเหมือนรัฐบาลในอดีตที่ผ่านมา
วันนี้ อาตมาและศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทยพร้อมภาคีเครือข่าย จึงต้องเรียกประชุมโดยด่วน เพื่อกำหนดท่าทีและแนวทางปฏิบัติต่อไป
การรับกิจนิมนต์พิเศษอยู่ฝ่ายเดียวไม่ต่างอะไรกับการถูกมัดมือมัดเท้าและโดนชกโดยไม่ทราบชะตากรรม และนอกจากนั้นยังไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าระยะเวลานี้จะยาวนานมากน้อยแค่ไหนอย่างไร
การประชุมเพื่อร่วมกันคิด ร่วมกันอ่าน เพื่องานในวันข้างหน้า จึงดูว่าจะดีกว่านั่งรับกิจนิมนต์พิเศษแบบไร้อนาคต"
"กว่าสองสัปดาห์ที่ผ่านมา อาตมารับนิมนต์พิเศษจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในเรื่องการยุติการเคลื่อนไหวใดๆ เพื่อให้เกิดความสบายใจและความสงบเรียบร้อยของทุกฝ่าย
โดยนายกรัฐมนตรีย้ำว่า ถ้าทุกคนทุกฝ่ายยุติการเคลื่อนไหวใดๆ กระบวนการการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชซึ่งอยู่ในขั้นตอนการดำเนินการของรัฐบาลก็จะเดินหน้าไปได้อย่างไม่มีปัญหาติดขัดใดๆ
สอดรับกับคำให้สัมภาษณ์ ต่างกรรมต่างวาระของท่านรองนายกรัฐมนตรี (พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ว่า ถ้าเรื่องไม่สงบ ก็จะยังไม่ดำเนินการ
ในเวลานี้ชัดเจนแล้วว่า ศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทยพร้อมภาคีเครือข่ายได้แสดงเจตจำนงชัดเจนว่า ต้องการความสงบ ไม่ประสงค์จะก่อปัญหาใดๆ และยังปรารถนาอย่างยิ่งให้กระบวนการที่ชอบด้วยกฎหมาย จารีตประเพณีโดยไม่ขัดหรือแย้งกับพระธรรมวินัย เดินหน้าไปได้
วันนี้ชัดเจนว่า กิจนิมนต์พิเศษ ซึ่งเป็นความปรารถนาอันดีงามของท่านนายกรัฐมนตรีนั้น มีเพียงอาตมา ศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทยและภาคีเครือข่ายเท่านั้นที่รับนิมนต์อยู่ฝ่ายเดียว
รับอยู่ฝ่ายเดียวจริงๆ
ในขณะที่อีกฝ่าย (ฝ่ายต่อต้านการสถาปนาฯ) ไม่ยินดียินร้ายใดๆ ต่อคำอาราธนาของท่านนายกรัฐมนตรี
ที่หนักไปกว่านั้น รัฐบาลโดยรัฐมนตรีร่วมคณะรัฐมนตรี ของท่านนายกรัฐมนตรี กลับไม่ใส่ใจในการนำเอาแนวทางของหัวหน้ารัฐบาลไปปฏิบัติ ทำงานสวนนโยบายของผู้นำแบบไม่เกรงใจ ด้วยการสาดน้ำมันถังใหญ่เข้าไปในกอง
เพลิงก็ยิ่งเพิ่มความร้อนระอุขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
ในส่วนของรัฐบาลนั้น โดยรวมกลับไม่มีท่าทีใดๆ ที่จะห้ามปรามรัฐมนตรีร่วมคณะรัฐมนตรีด้วยกันและฝ่ายต่อต้านอื่นๆ
ที่สำคัญมากไปกว่านั้นก็คือ รัฐบาลกลับไม่ได้แสดงอะไรให้ผู้คนทั้งประเทศได้มองเห็นว่ารัฐบาลนี้มีความเคารพต่อคณะสงฆ์ทั้งสังฆมณฑลและพร้อมจะสนองตอบต่อมติมหาเถรสมาคมที่เป็นไปโดยชอบเหมือนรัฐบาลในอดีตที่ผ่านมา
วันนี้ อาตมาและศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทยพร้อมภาคีเครือข่าย จึงต้องเรียกประชุมโดยด่วน เพื่อกำหนดท่าทีและแนวทางปฏิบัติต่อไป
การรับกิจนิมนต์พิเศษอยู่ฝ่ายเดียวไม่ต่างอะไรกับการถูกมัดมือมัดเท้าและโดนชกโดยไม่ทราบชะตากรรม และนอกจากนั้นยังไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าระยะเวลานี้จะยาวนานมากน้อยแค่ไหนอย่างไร
การประชุมเพื่อร่วมกันคิด ร่วมกันอ่าน เพื่องานในวันข้างหน้า จึงดูว่าจะดีกว่านั่งรับกิจนิมนต์พิเศษแบบไร้อนาคต"