นายอมร กิจเชวงกุล รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) กล่าวถึงกระแสข่าวว่าเตรียมยกเลิกให้บริการรถเมล์ด่วนพิเศษหรือบีอาร์ทีสายสาทร-ราชพฤกษ์ ว่า ขณะนี้ยังให้บริการอยู่ตามปกติ ส่วนแนวทางจะยกเลิกหรือไม่ยกเลิกนั้น ต้องรอผลสรุปจากทางบริษัทกรุงเทพธนาคม จำกัด (เคที) ในฐานะวิสาหกิจกรุงเทพมหานคร ส่งรายงานและข้อสรุปการให้บริการของรถเมล์ด่วนบีอาร์ทีกลับมาให้กรุงเทพมหานครว่าเป็นอย่างไร เพราะสัญญาจะหมดในปี 2560
ด้าน นายมานิต เตชอภิโชค กรรมการผู้อำนวยการบริษัทกรุงเทพธนาคม จำกัด (เคที) กล่าวว่าโครงการรถเมล์ด่วนบีอาร์ทีเริ่มการก่อสร้างตั้งแต่ปี 2550 งบประมาณลงทุน 1,500 ล้านบาท ให้บริการครั้งแรกเมื่อวันที่ 29 พฤกษาคม 2553 ซึ่งการบริหารโครงการนั้น ได้ว่าจ้างเคทีให้เป็นผู้บริหารระบบ มีหน้าที่จัดหาผู้ให้บริการเดินรถและกำกับผู้เดินรถให้เป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ มีระยะเวลา 7 ปี มูลค่าสัญญา 200 ล้านบาทต่อปี โดยจะสิ้นสุดสัญญาในเดือนเมษายน 2560 ส่วนปริมาณผู้โดยสารที่ผ่านมาตั้งแต่ปี 2553 มีผู้โดยสารประมาณ 15,000 เที่ยวต่อคนต่อวัน จนถึงปี 2558 มีผู้โดยสารเฉลี่ยอยู่ที่ 23,000 เที่ยวต่อคนต่อวัน ซึ่งรายได้จากค่าโดยสารตั้งแต่เดือนกันยายน 2553 มีอัตรา 10 บาทตลอดสาย แต่ได้มีการปรับลดเพื่อช่วยเหลือประชาชนในอัตรา 5 บาทตลอดสาย ตั้งแต่ 15 เมษายน 2556 และจะสิ้นสุดในวันที่ 31 มีนาคม 2559 ซึ่งในช่วงนี้กทม.อยู่ระหว่างการพิจารณาอัตราค่าโดยสารที่เหมาะสมเพื่อลดค่าใช้จ่ายให้ประชาชน
อย่างไรก็ตาม นายมานิต กล่าวต่อว่า รายได้จากค่าโดยสารทั้งหมดเป็นสิทธิของกทม.ซึ่งมีการนำส่งเงินค่าโดยสารให้กทม.เป็นประจำทุกวัน โดยจะมีเคทีเป็นผู้ตรวจสอบความถูกต้อง โดยในปี 2558 ที่ผ่านมามีรายได้จากค่าโดยสารประมาณ 32 ล้านบาท ซึ่งในปัจจุบันกทม.อยู่ระหว่างการศึกษาโครงการโมโนเรลสายสีเทา และเตรียมยื่นขออนุมัติจากคณะรัฐมนตรี ดังนั้นหากกรุงเทพมหานคร ได้ดำเนินการโมโนเรลสายสีเทา ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องมีรถบีอาร์ทีให้บริการอีก เนื่องจากเส้นทางบางช่วงของโมโนเรลสายสีเทา มีการทับซ้อนกับเส้นทางของบีอาร์ทีตลอด และจะทำให้ผู้โดยดยสารจะได้รับความสะดวกมากกว่าเดิม เพราะไม่มีข้อจํากัดทางกายภาพของเส้นทางเหมือนโครงการบีอาร์ที ซึ่งโครงการโมโนเรลจะทําหน้าที่เป็นระบบป้อนผู้โดยสารจากชานเมืองเข้าสู่ระบบขนส่งมวลชนหลัก
ด้าน นายมานิต เตชอภิโชค กรรมการผู้อำนวยการบริษัทกรุงเทพธนาคม จำกัด (เคที) กล่าวว่าโครงการรถเมล์ด่วนบีอาร์ทีเริ่มการก่อสร้างตั้งแต่ปี 2550 งบประมาณลงทุน 1,500 ล้านบาท ให้บริการครั้งแรกเมื่อวันที่ 29 พฤกษาคม 2553 ซึ่งการบริหารโครงการนั้น ได้ว่าจ้างเคทีให้เป็นผู้บริหารระบบ มีหน้าที่จัดหาผู้ให้บริการเดินรถและกำกับผู้เดินรถให้เป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ มีระยะเวลา 7 ปี มูลค่าสัญญา 200 ล้านบาทต่อปี โดยจะสิ้นสุดสัญญาในเดือนเมษายน 2560 ส่วนปริมาณผู้โดยสารที่ผ่านมาตั้งแต่ปี 2553 มีผู้โดยสารประมาณ 15,000 เที่ยวต่อคนต่อวัน จนถึงปี 2558 มีผู้โดยสารเฉลี่ยอยู่ที่ 23,000 เที่ยวต่อคนต่อวัน ซึ่งรายได้จากค่าโดยสารตั้งแต่เดือนกันยายน 2553 มีอัตรา 10 บาทตลอดสาย แต่ได้มีการปรับลดเพื่อช่วยเหลือประชาชนในอัตรา 5 บาทตลอดสาย ตั้งแต่ 15 เมษายน 2556 และจะสิ้นสุดในวันที่ 31 มีนาคม 2559 ซึ่งในช่วงนี้กทม.อยู่ระหว่างการพิจารณาอัตราค่าโดยสารที่เหมาะสมเพื่อลดค่าใช้จ่ายให้ประชาชน
อย่างไรก็ตาม นายมานิต กล่าวต่อว่า รายได้จากค่าโดยสารทั้งหมดเป็นสิทธิของกทม.ซึ่งมีการนำส่งเงินค่าโดยสารให้กทม.เป็นประจำทุกวัน โดยจะมีเคทีเป็นผู้ตรวจสอบความถูกต้อง โดยในปี 2558 ที่ผ่านมามีรายได้จากค่าโดยสารประมาณ 32 ล้านบาท ซึ่งในปัจจุบันกทม.อยู่ระหว่างการศึกษาโครงการโมโนเรลสายสีเทา และเตรียมยื่นขออนุมัติจากคณะรัฐมนตรี ดังนั้นหากกรุงเทพมหานคร ได้ดำเนินการโมโนเรลสายสีเทา ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องมีรถบีอาร์ทีให้บริการอีก เนื่องจากเส้นทางบางช่วงของโมโนเรลสายสีเทา มีการทับซ้อนกับเส้นทางของบีอาร์ทีตลอด และจะทำให้ผู้โดยดยสารจะได้รับความสะดวกมากกว่าเดิม เพราะไม่มีข้อจํากัดทางกายภาพของเส้นทางเหมือนโครงการบีอาร์ที ซึ่งโครงการโมโนเรลจะทําหน้าที่เป็นระบบป้อนผู้โดยสารจากชานเมืองเข้าสู่ระบบขนส่งมวลชนหลัก