เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม ที่ศาลแพ่ง ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดสืบพยานจำเลยคดีที่ พนักงานสอบสวนกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ)เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง คดีละเมิดเรียกค่าเสียหาย หลวงปู่พุทธะอิสระ หรือ นายสุวิทย์ ทองประเสริฐ, พลตรีสมเกียรติ วัฒนวิกย์กิจ ,นายชุมพล จุลใส ,นายนิติธร ล้ำเหลือ , น.ส.อัญชลี ไพรีรัก ในความผิดฐานละเมิด
บรรยายฟ้องสรุปว่า โจทก์เป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาทนี้จำเลยทั้ง 5 เป็นแกนนำกลุ่มผู้ชุมนุมคณะกรรมการประชาชนเพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข(กปปส.)ได้ร่วมกันใช้สิทธิโดยไม่สุจริตเป็นการใช้สิทธิที่ทำให้เกิดความเสียหายและเป็นการทำละเมิดแก่โจทก์ โดยโจทก์ขอให้จำเลยทั้ง 5 ร่วมกันชดใช้เงินค่าเสียหาย เป็นเงิน 2,663,409 บาทพร้อมดอกเบี้ย นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป ซึ่งศาลประทับรับฟ้องวันที่ 18 พฤซจิกายน 2557
โดยในวันนี้ นายนิติธร เป็นพยานจำเลยขึ้นเบิกความถึงเหตุการณ์ในวันชุมนุมที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ สรุปว่า ในวันดังกล่าวได้มีการชุมนุมโดยยอมรับว่าได้ขึ้นปราศรัยโดยพูดถึงการทำงานของ นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษในขณะนั้นจริง แต่ยืนยันว่ากลุ่มผู้ชุมนุมไม่ได้มีการผลักดันเพื่อที่จะเข้าในพื้นที่อันทำให้เกิดความเสียหายแก่กรมสอบสวนคดีพิเศษแน่นอน เนื่องจากประตูของกรมสอบสวนคดีพิเศษเป็นประตูกระจกมีโซ่คล้องอยู่ ย่อมไม่สามารถที่จะเข้าไปได้หากไม่มีคนเปิด หากมีการผลักดันเข้าไปย่อมทำให้กระจกประตูแตก ซึ่งที่ผ่านมาไม่เคยทราบว่ามีการแจ้งว่ากระจกประตูทางเข้ามีความเสียหาย
นายนิติธร ยังเบิกความต่อว่า กลุ่มเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) กับ กปปส.นั้นไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกัน แต่มีเจตนาเดียวกันในเรื่องของการปฏิรูปประเทศ ซึ่งแต่ละเวทีก็มีแนวทางการเคลื่อนไหวในเรื่องการปฏิรูปเป็นของตัวเอง โดย คปท.นั้นมีการเคลื่อนไหวในเรื่องการปฏิรูปประเทศมาก่อนที่จะมีการตั้ง กปปส.
โดยหลังจากนายนิติธรพยานจำเลยปากสุดท้ายเบิกความเสร็จสิ้น ศาลแพ่งได้นัดอ่านคำพิพากษา ในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2559 เวลา 09.00 น.
ด้านน.ส.พวงทิพย์ บุญสนอง ทนายความ กล่าวว่าคดีนี้กรมสอบสวนคดีพิเศษเป็นโจทก์ฟ้องจากกรณีที่ไปชุมนุมที่ดีเอสไอ โดยมีการเรียกค่าเสียหายรวม 2 ล้านกว่าบาท โดยอ้างว่าความเสียหายเกิดจากการทำละเมิดในส่วนของคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กที่สูญหายในช่วงการชุมนุม และค่าข้าวกล่อง ของเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ ในขณะปฏิบัติหน้าที่
บรรยายฟ้องสรุปว่า โจทก์เป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาทนี้จำเลยทั้ง 5 เป็นแกนนำกลุ่มผู้ชุมนุมคณะกรรมการประชาชนเพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข(กปปส.)ได้ร่วมกันใช้สิทธิโดยไม่สุจริตเป็นการใช้สิทธิที่ทำให้เกิดความเสียหายและเป็นการทำละเมิดแก่โจทก์ โดยโจทก์ขอให้จำเลยทั้ง 5 ร่วมกันชดใช้เงินค่าเสียหาย เป็นเงิน 2,663,409 บาทพร้อมดอกเบี้ย นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป ซึ่งศาลประทับรับฟ้องวันที่ 18 พฤซจิกายน 2557
โดยในวันนี้ นายนิติธร เป็นพยานจำเลยขึ้นเบิกความถึงเหตุการณ์ในวันชุมนุมที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ สรุปว่า ในวันดังกล่าวได้มีการชุมนุมโดยยอมรับว่าได้ขึ้นปราศรัยโดยพูดถึงการทำงานของ นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษในขณะนั้นจริง แต่ยืนยันว่ากลุ่มผู้ชุมนุมไม่ได้มีการผลักดันเพื่อที่จะเข้าในพื้นที่อันทำให้เกิดความเสียหายแก่กรมสอบสวนคดีพิเศษแน่นอน เนื่องจากประตูของกรมสอบสวนคดีพิเศษเป็นประตูกระจกมีโซ่คล้องอยู่ ย่อมไม่สามารถที่จะเข้าไปได้หากไม่มีคนเปิด หากมีการผลักดันเข้าไปย่อมทำให้กระจกประตูแตก ซึ่งที่ผ่านมาไม่เคยทราบว่ามีการแจ้งว่ากระจกประตูทางเข้ามีความเสียหาย
นายนิติธร ยังเบิกความต่อว่า กลุ่มเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) กับ กปปส.นั้นไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกัน แต่มีเจตนาเดียวกันในเรื่องของการปฏิรูปประเทศ ซึ่งแต่ละเวทีก็มีแนวทางการเคลื่อนไหวในเรื่องการปฏิรูปเป็นของตัวเอง โดย คปท.นั้นมีการเคลื่อนไหวในเรื่องการปฏิรูปประเทศมาก่อนที่จะมีการตั้ง กปปส.
โดยหลังจากนายนิติธรพยานจำเลยปากสุดท้ายเบิกความเสร็จสิ้น ศาลแพ่งได้นัดอ่านคำพิพากษา ในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2559 เวลา 09.00 น.
ด้านน.ส.พวงทิพย์ บุญสนอง ทนายความ กล่าวว่าคดีนี้กรมสอบสวนคดีพิเศษเป็นโจทก์ฟ้องจากกรณีที่ไปชุมนุมที่ดีเอสไอ โดยมีการเรียกค่าเสียหายรวม 2 ล้านกว่าบาท โดยอ้างว่าความเสียหายเกิดจากการทำละเมิดในส่วนของคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กที่สูญหายในช่วงการชุมนุม และค่าข้าวกล่อง ของเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ ในขณะปฏิบัติหน้าที่