xs
xsm
sm
md
lg

ทองปิดลบ น้ำมันขึ้น ดาวโจนส์ร่วงหลังสหรัฐเผยข้อมูลศก.อ่อนแอ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนวันศุกร์ (30 ต.ค.) เนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกกังวลหลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณในการประชุมครั้งล่าสุดว่าจะพิจารณาการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนธ.ค.

สัญญาทองคำตลาดโคเม็กซ์-COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค.ลดลง 5.9 ดอลลาร์ หรือ 0.51% ปิดที่ 1,141.40 ดอลลาร์/ออนซ์

นักลงทุนยังคงเดินหน้าเทขายสัญญาทองคำ หลังจากคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐได้ส่งสัญญาณในการประชุมครั้งล่าสุดซึ่งเสร็จสิ้นเมื่อวันพุธตามเวลาสหรัฐว่า เฟดจะพิจารณาการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งต่อไปในเดือนธ.ค.

แถลงการณ์ภายหลังการประชุมระบุว่า คณะกรรมการเฟดมีมติคงอัตราดอกเบี้ยในช่วง 0-0.25% ต่อไป ส่วนในการประชุมเดือนธ.ค.นั้น จะเป็นเวลาที่เฟดจะทำการพิจารณาว่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยหรือไม่ โดยเฟดจะประเมินความคืบหน้าทั้งที่เกิดขึ้นจริง และที่คาดว่าจะเกิดขึ้น ต่อการบรรลุเป้าหมายของการจ้างงานที่ระดับสูงสุด และอัตราเงินเฟ้อที่ระดับ 2%

สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนวันศุกร์ (30 ต.ค.) หลังจากเบเกอร์ ฮิวจ์ อิงค์รายงานว่า แท่นขุดเจาะน้ำมันในสหรัฐปรับตัวลดลงเป็นสัปดาห์ที่ 9 ติดต่อกัน ซึ่งข้อมูลดังกล่าวบ่งชี้ว่าการผลิตน้ำมันในสหรัฐเริ่มลดน้อยลง

สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส ส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 53 เซนต์ หรือ 1.2% ปิดที่ 46.59 ดอลลาร์/บาร์เรล

สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ ส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 76 เซนต์ หรือ 1.6% ปิดที่ 49.56 ดอลลาร์/บาร์เรล

สัญญาน้ำมันดิบดีดตัวขึ้นหลังจากเบเกอร์ ฮิวจ์ อิงค์รายงานว่า แท่นขุดเจาะน้ำมันของสหรัฐที่มีการใช้งาน ปรับตัวลดลง 16 แท่น สู่ระดับ 578 แท่นในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นการลดลงเป็นสัปดาห์ที่ 9 ติดต่อกัน

ขณะนี้ จำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันลดลงไปแล้ว 64% นับตั้งแต่พุ่งสูงสุดแตะ 1,609 แท่นในเดือนต.ค.ปีที่แล้ว โดยจำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันได้ลดลงอย่างมากนับตั้งแต่ราคาน้ำมันทรุดตัวลงในปีที่แล้ว

เทรดเดอร์มองว่า จำนวนแท่นขุดเจาะที่ลดลงอย่างต่อเนื่องนั้น บ่งชี้ว่าบริษัทพลังงานในสหรัฐยังคงปรับลดการใช้จ่าย อันเป็นผลมาจากราคาน้ำมันดิบที่ชะลอตัวลง

นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบยังคงได้รับแรงหนุนจากรายงานของสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA)ที่ระบุว่า สต็อกน้ำมันดิบในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 23 ต.ค.ของสหรัฐเพิ่มขึ้น 3.4 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 480 ล้านบาร์เรล ซึ่งน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะพุ่งขึ้น 3.7 ล้านบาร์เรล

ขณะที่สต็อกน้ำมันดิบที่เมืองคุชชิ่ง รัฐโอกลาโฮมา ซึ่งเป็นจุดส่งมอบน้ำมัน ลดลง 785,000 บาร์เรล สู่ระดับ 53.3 ล้านบาร์เรล

ด้านดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนวันศุกร์ (30 ต.ค.) หลังจากสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่ซบเซา รวมถึงการใช้จ่ายผู้บริโภคที่เคลื่อนไหวในระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนม.ค.ปีนี้ นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากผลประกอบการที่อ่อนแอของบริษัทรายใหญ่อย่างเอ็กซอน โมบิล และเชฟรอน

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 17,663.54 จุด ลดลง 92.26 จุด หรือ -0.52% ดัชนีแนสแด็กปิดที่ 5,053.75 จุด ลดลง 20.52 จุด หรือ -0.40% ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ปิดที่ 2,079.36 จุด ลดลง 10.05 จุด หรือ -0.48%

ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดตลาดอ่อนแรงลงหลังจากมีข้อมูลที่บ่งชี้ถึงความอ่อนแอของเศรษฐกิจสหรัฐ โดยเมื่อช่วงค่ำวานนี้ตามเวลาไทย กระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานว่า การใช้จ่ายของผู้บริโภคขยับขึ้นเพียง 0.1% ในเดือนก.ย. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนม.ค. เทียบกับที่เพิ่มขึ้น 0.4% ในเดือนส.ค. และเทียบกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.2% ขณะที่รายได้ส่วนบุคคลขยับขึ้น 0.1% ในเดือนก.ย. ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นในอัตราต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค.

ทั้งนี้ การชะลอตัวของการใช้จ่ายผู้บริโภคบ่งชี้ว่า การสร้างงานที่มีอัตราต่ำลงและภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวนในต่างประเทศนั้น อาจะเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อพฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้บริโภคสหรัฐ

ด้านผลสำรวจของมหาวิทยาลัยมิชิแกนระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐขั้นสุดท้ายประจำเดือนต.ค. อยู่ที่ระดับ 90 ซึ่งต่ำกว่าตัวเลขเบื้องต้นที่ระดับ 92.1 เนื่องจากผู้บริโภคมีความกังวลต่อความผันผวนในตลาดการเงิน

นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากผลประกอบการที่อ่อนแอของบริษัทพลังงานรายใหญ่ของสหรัฐ โดยเอ็กซอน โมบิล คอร์ป ผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่สุดของสหรัฐเปิดเผยกำไรไตรมาส 3 อยู่ที่ 4.24 พันล้านดอลลาร์ หรือ 1.01 ดอลลาร์ต่อหุ้น โดยลดลงจาก 8.07 พันล้านดอลลาร์ หรือ 1.89 ดอลลาร์ต่อหุ้นในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ขณะที่รายได้ในไตรมาส 3 ร่วงลง 37% สู่ระดับ 6.734 หมื่นล้านดอลลาร์

ส่วนเชฟรอน คอร์ป ซึ่งเป็นบริษัทผลิตน้ำมันใหญ่อันดับ 2 ของสหรัฐ รองจากเอ็กซอน โมบิล คอร์ป เปิดเผยกำไร 2.04 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาส 3 หรือ 1.09 ดอลลาร์ต่อหุ้น ลดลงจาก 5.6 พันล้านดอลลาร์ หรือ 2.95 ดอลลาร์ต่อหุ้น เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว นอกจากนี้ บริษัทมีรายได้ดิ่งลง 37% สู่ระดับ 3.432 หมื่นล้านดอลลาร์

ทั้งนี้ เชฟรอนยังเปิดเผยว่าจะปลดพนักงาน 6,000-7,000 คนจากจำนวนพนักงานทั่วโลก 64,700 คน นอกจากนี้ เชฟรอนระบุว่าจะปรับลดการใช้จ่ายทุนลง 25% ในปีหน้า หลังมีผลประกอบการย่ำแย่ในไตรมาส 3

หุ้นกลุ่มการเงินปรับตัวลงเป็นเวลา 4 วันในรอบ 5 วันทำการ โดยหุ้นเจนเวิร์ธ ไฟแนนเชียล ดิ่งลง 10% หุ้นคีย์คอร์ป ร่วงลง 7.2%

ส่วนหุ้นผู้จำหน่ายสินค้าเพื่อผู้บริโภคปรับตัวลงเช่นกัน โดยหุ้นซีวีเอส ร่วงลง 4.8% และหุ้นคอลเกต-ปาล์มโอลีฟ ดิ่งลง 4.2%

อย่างไรก็ตาม หุ้นเอ็กซอน โมบิล ขยับขึ้น 0.62% แม้ว่าผลประกอบการของบริษัทออกมาน่าผิดหวังก็ตาม ขณะที่หุ้นลิงค์อิน คอร์ป พุ่งขึ้น 11% หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการที่ดีเกินคาดในไตรมาส 3
กำลังโหลดความคิดเห็น