หุ้นเอเชียฟื้นเกือบทั่วหน้าในวันนี้ (26 ส.ค.) ทว่า นักลงทุนยังเทขายหุ้นจีน เสมือนป่าวประกาศว่า มาตรการลดดอกเบี้ย พร้อมลดอัตราการดำรงเงินสดสำรองของแบงก์ ที่ธนาคารกลางแดนมังกรนำออกมาใช้เมื่อค่ำวันอังคาร (25) ยังไม่เพียงพอที่จะสยบความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน และหยุดยั้งการหล่นร่วงของตลาดหุ้นภายในประเทศได้ สภาวการณ์เช่นนี้ส่งผลให้มีการคาดการณ์กันว่า อีกไม่นานนี้ปักกิ่งอาจต้องงัดมาตรการกระตุ้นใหม่ๆ ออกมาเพิ่มเติม
ในวันพุธ (26 ส.ค.) ดัชนีนิกเกอิของตลาดหุ้นโตเกียวพุ่งขึ้น 3.20% ปิดที่ 18,376.83 เป็นการดีดตัวกลับหลังจากดิ่งต่ำสุดในรอบ 6 เดือนเมื่อวันอังคาร รวมทั้งยังเป็นการฟื้นขึ้นมาจากสถิติการตกสองวันติดกันครั้งรุนแรงที่สุดนับจากปี 2011
เช่นเดียวกับตลาดหุ้นซิดนีย์ที่กระเตื้องขึ้น 0.69% ปิดที่ 5,172.77 และโซลบวก 2.57% ปิดที่ 1,894.09
ตรงข้ามกับดัชนีหุ้นคอมโพสิตของตลาดเซี่ยงไฮ้ที่ยังร่วงลงต่ออีก 1.27% ปิดที่ 2,927.29 หลังจากราคาเหวี่ยงขึ้น-ลงมาตลอดทั้งวันระหว่างบวก 4% กับลบ 4% ส่วนดัชนีหั่งเส็งของฮ่องกงหล่นลง 1.52% ปิดที่ 21,080.39
เอ็มมา ลอว์สัน นักยุทธศาสตร์ค่าเงินตราอาวุโสของธนาคารเนชันแนล ออสเตรเลีย แบงก์ ชี้ว่า ถึงแม้จีนผ่อนคลายนโยบายตามที่ตลาดคาดหวัง แต่ยังดูเหมือนไม่เพียงพอ
ทั้งนี้ แบงก์ชาติแดนมังกรซึ่งมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า ธนาคารประชาชนแห่งประเทศจีน แถลงในตอนค่ำวันอังคาร ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายทั้งทางฟากเงินกู้และทางฟากเงินฝากลงมาอีก 0.25% รวมทั้งลดอัตราการดำรงเงินสดสำรองของแบงก์ต่างๆ อีก 0.50% โดยระบุว่าเนื่องจากการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศยังคงอยู่ภายใต้ความกดดัน และเสริมว่าความเคลื่อนไหวคราวนี้ซึ่งถือเป็นครั้งที่สองในรอบสองเดือนที่มีการประกาศสองมาตรการนี้พร้อมกันนั้น เป็นส่วนหนึ่งของการสนับสนุนเศรษฐกิจภาคแท้จริงให้พัฒนาต่อไปอย่างเข้มแข็ง
ปัจจัยความกังวลที่ว่าการเติบโตขยายตัวของจีน ซึ่งเป็นประเทศเศรษฐกิจอันดับ 2 ของโลก อยู่ในภาวะชะลอตัว กำลังกลายเป็นตัวกระตุ้นให้ตลาดการเงินทั่วโลกผันผวนรุนแรงที่สุด ภายหลังวิกฤตภาคการเงินปี 2008 หรือที่ในเมืองไทยบางทีเรียกกันว่า “วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์” โดยในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ไม่เพียงตลาดหุ้นเท่านั้น แต่ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ และค่าเงินตราของพวกเศรษฐกิจตลาดเกิดใหม่ ต่างพากันไหลรูด
ในวันพุธ (26 ส.ค.) ดัชนีนิกเกอิของตลาดหุ้นโตเกียวพุ่งขึ้น 3.20% ปิดที่ 18,376.83 เป็นการดีดตัวกลับหลังจากดิ่งต่ำสุดในรอบ 6 เดือนเมื่อวันอังคาร รวมทั้งยังเป็นการฟื้นขึ้นมาจากสถิติการตกสองวันติดกันครั้งรุนแรงที่สุดนับจากปี 2011
เช่นเดียวกับตลาดหุ้นซิดนีย์ที่กระเตื้องขึ้น 0.69% ปิดที่ 5,172.77 และโซลบวก 2.57% ปิดที่ 1,894.09
ตรงข้ามกับดัชนีหุ้นคอมโพสิตของตลาดเซี่ยงไฮ้ที่ยังร่วงลงต่ออีก 1.27% ปิดที่ 2,927.29 หลังจากราคาเหวี่ยงขึ้น-ลงมาตลอดทั้งวันระหว่างบวก 4% กับลบ 4% ส่วนดัชนีหั่งเส็งของฮ่องกงหล่นลง 1.52% ปิดที่ 21,080.39
เอ็มมา ลอว์สัน นักยุทธศาสตร์ค่าเงินตราอาวุโสของธนาคารเนชันแนล ออสเตรเลีย แบงก์ ชี้ว่า ถึงแม้จีนผ่อนคลายนโยบายตามที่ตลาดคาดหวัง แต่ยังดูเหมือนไม่เพียงพอ
ทั้งนี้ แบงก์ชาติแดนมังกรซึ่งมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า ธนาคารประชาชนแห่งประเทศจีน แถลงในตอนค่ำวันอังคาร ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายทั้งทางฟากเงินกู้และทางฟากเงินฝากลงมาอีก 0.25% รวมทั้งลดอัตราการดำรงเงินสดสำรองของแบงก์ต่างๆ อีก 0.50% โดยระบุว่าเนื่องจากการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศยังคงอยู่ภายใต้ความกดดัน และเสริมว่าความเคลื่อนไหวคราวนี้ซึ่งถือเป็นครั้งที่สองในรอบสองเดือนที่มีการประกาศสองมาตรการนี้พร้อมกันนั้น เป็นส่วนหนึ่งของการสนับสนุนเศรษฐกิจภาคแท้จริงให้พัฒนาต่อไปอย่างเข้มแข็ง
ปัจจัยความกังวลที่ว่าการเติบโตขยายตัวของจีน ซึ่งเป็นประเทศเศรษฐกิจอันดับ 2 ของโลก อยู่ในภาวะชะลอตัว กำลังกลายเป็นตัวกระตุ้นให้ตลาดการเงินทั่วโลกผันผวนรุนแรงที่สุด ภายหลังวิกฤตภาคการเงินปี 2008 หรือที่ในเมืองไทยบางทีเรียกกันว่า “วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์” โดยในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ไม่เพียงตลาดหุ้นเท่านั้น แต่ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ และค่าเงินตราของพวกเศรษฐกิจตลาดเกิดใหม่ ต่างพากันไหลรูด