พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าในคดี พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง อดีตผู้บัญชาการตำรวจนครบาล(ผบช.น.) ถูกจับกุมในข้อหามีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครอง ที่สนามบินนาริตะ ขณะเตรียมขึ้นเครื่องบินกลับประเทศไทยว่า อัยการญี่ปุ่นได้รับสำนวนคดีไว้พิจารณาแล้ว แต่ยังไม่มีความเห็นสั่งฟ้อง เนื่องจากต้องใช้เวลาในการพิจารณาสำนวนคดีตามกรอบระยะเวลา 10 วัน โดยสามารถผลัดฟ้องได้ 2 ครั้ง ครั้งละ 10 วัน
นอกจากนี้ มีรายงานระบุว่า นายตรีลุพธ์ ธูปกระจ่าง บุตรชายของ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ได้ขอเข้าเยี่ยมบิดา แต่ไม่ได้รับการอนุญาตจากเจ้าหน้าที่ เนื่องจากเป็นผู้ต้องหาในคดีที่มีอัตราโทษสูง รวมทั้งไม่อนุญาตให้บุคคลใดเข้าเยี่ยมโดยเด็ดขาด
รายงานระบุด้วยว่า การเดินทางของ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ได้รับคำเชิญจากบริษัท ฮิตาชิ เพื่อศึกษาดูงานการแปรรูปขยะเป็นพลังงานไฟฟ้า ที่จะสร้างขึ้นข้างมูลนิธิของ อดีต ผบช.น. โดยมีกลุ่มของ รองผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี ปลัดจังหวัด ท้องถิ่น และผู้บริหารท้องถิ่นอีกจำนวนมาก ร่วมคณะไปด้วย
ด้าน พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รมว.คมนาคม เปิดเผยว่า จากการรายงานของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ซึ่งมีภาพจากกล้องวงจรปิดที่ยืนยันว่า ในการทำการตรวจค้น พล.ต.ท. คำรณวิทย์ ไม่ได้มีการใช้อภิสิทธิ์ใดๆ ทั้งสิ้น เป็นไปตามเป็นไปตามมาตรฐานการตรวจคนออกนอกประเทศ และจากการตรวจสอบกระเป๋าถือและสัมภาระใต้ท้องเครื่องบิน ไม่พบอาวุธหรือวัตถุอันตราย ขณะที่เครื่องเอ็กซเรย์วัตถุอันตราย CTX 9400 ที่เก็บไฟล์ภาพได้เพียง 3 วัน ก็ยืนยันว่าเครื่องยังได้มาตรฐานแม้จะผ่านการใช้งานมาแล้ว 10 ปี โดยมีการตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอทุกปี ซึ่งล่าสุดที่มีการตรวจเครื่องคือปลายปี 2557 และได้รับการรับรองว่าเครื่องยังมีประสิทธิภาพ ส่วนภาพที่เก็บได้เพียง 3 วัน หลังจากนี้จำเป็นที่จะต้องดูหลักฐานจากประจักษ์พยานตัวบุคคล ซึ่งกรณีนี้จะเป็นอุทธาหรณ์ให้ต้องทำการทบทวนการตรวจสอบเครื่องมือต่างๆ ให้สมบูรณ์ เพราะต่อไปจะต้องถูกจับตามองมากขึ้น
แหล่งข่าวระดับสูง ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ทางการของประเทศญี่ปุ่น เปิดเผยว่า ทราบจากตำรวจญี่ปุ่นว่า พล.ต.ท.คำรณวิทย์ อ้างว่าไม่ได้มีเจตนานำอาวุธปืนขึ้นเครื่องบิน ซึ่งปืนกระบอกนี้ตนเองกำลังหาอยู่ แต่ไม่คิดว่าจะอยู่ในกระเป๋ายาที่ใส่ไว้ในกระเป๋าสัมภาระ อย่างไรก็ตาม ทางตำรวจญี่ปุ่นได้นำอาวุธปืนนอร์ธอเมริกัน.22 กระบอกดังกล่าว ส่งไปยังสำนักงานพิสูจน์หลักฐาน เพื่อทดสอบอานุภาพ และตรวจสอบว่าถูกต้องตามกฎหมายไทยหรือไม่ เพื่อเสนอให้อัยการญี่ปุ่นพิจารณาประกอบสำนวนว่าจะสั่งฟ้องหรือไม่
แหล่งข่าวเปิดเผยด้วยว่า ในประเทศญี่ปุ่นกฎหมายเกี่ยวกับอาวุธปืนมีโทษหนัก ประชาชนไม่สามารถที่จะพกพาหรือมีไว้ในความครอบครองได้ แต่จะอนุญาตให้ประชาชนในบางจังหวัดมีไว้ในความครอบครองได้ คือปืนยาวที่ใช้ล่าสัตว์และใช้ฤดูกาลล่าสัตว์เท่านั้น อีกประเภทหนึ่งคือ เป็นปืนที่ใช้สำหรับการกีฬา ส่วนกรณีของ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ แม้ว่าจะอ้างไม่มีเจตนาและลืมไว้ แต่การพกพาเข้าไปในเขตท่าอากาศยานและอยู่ระหว่างการเตรียมตัวที่จะขึ้นเครื่องบินกลับถือว่าเป็นเรื่องรุนแรงสำหรับประเทศญี่ปุ่น
รายงานข่าวระบุว่าอาวุธปืน ที่ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ครอบครองไว้และอ้างว่าเป็นของเพื่อนที่ให้มานั้น ล่าสุด พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ได้มอบหมายให้ผู้ใกล้ชิดติดต่อหาเพื่อนคนดังกล่าว เพื่อนำเอกสารการครอบครองและหมายเลขทะเบียนปืนมามอบให้กับผู้ใกล้ชิดแล้วนำมาที่ประเทศญี่ปุ่น เพื่อใช้เป็นพยานหลักฐานว่าเป็นปืนที่ถูกต้องตามกฏหมายของประเทศไทย
นอกจากนี้ มีรายงานระบุว่า นายตรีลุพธ์ ธูปกระจ่าง บุตรชายของ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ได้ขอเข้าเยี่ยมบิดา แต่ไม่ได้รับการอนุญาตจากเจ้าหน้าที่ เนื่องจากเป็นผู้ต้องหาในคดีที่มีอัตราโทษสูง รวมทั้งไม่อนุญาตให้บุคคลใดเข้าเยี่ยมโดยเด็ดขาด
รายงานระบุด้วยว่า การเดินทางของ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ได้รับคำเชิญจากบริษัท ฮิตาชิ เพื่อศึกษาดูงานการแปรรูปขยะเป็นพลังงานไฟฟ้า ที่จะสร้างขึ้นข้างมูลนิธิของ อดีต ผบช.น. โดยมีกลุ่มของ รองผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี ปลัดจังหวัด ท้องถิ่น และผู้บริหารท้องถิ่นอีกจำนวนมาก ร่วมคณะไปด้วย
ด้าน พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รมว.คมนาคม เปิดเผยว่า จากการรายงานของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ซึ่งมีภาพจากกล้องวงจรปิดที่ยืนยันว่า ในการทำการตรวจค้น พล.ต.ท. คำรณวิทย์ ไม่ได้มีการใช้อภิสิทธิ์ใดๆ ทั้งสิ้น เป็นไปตามเป็นไปตามมาตรฐานการตรวจคนออกนอกประเทศ และจากการตรวจสอบกระเป๋าถือและสัมภาระใต้ท้องเครื่องบิน ไม่พบอาวุธหรือวัตถุอันตราย ขณะที่เครื่องเอ็กซเรย์วัตถุอันตราย CTX 9400 ที่เก็บไฟล์ภาพได้เพียง 3 วัน ก็ยืนยันว่าเครื่องยังได้มาตรฐานแม้จะผ่านการใช้งานมาแล้ว 10 ปี โดยมีการตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอทุกปี ซึ่งล่าสุดที่มีการตรวจเครื่องคือปลายปี 2557 และได้รับการรับรองว่าเครื่องยังมีประสิทธิภาพ ส่วนภาพที่เก็บได้เพียง 3 วัน หลังจากนี้จำเป็นที่จะต้องดูหลักฐานจากประจักษ์พยานตัวบุคคล ซึ่งกรณีนี้จะเป็นอุทธาหรณ์ให้ต้องทำการทบทวนการตรวจสอบเครื่องมือต่างๆ ให้สมบูรณ์ เพราะต่อไปจะต้องถูกจับตามองมากขึ้น
แหล่งข่าวระดับสูง ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ทางการของประเทศญี่ปุ่น เปิดเผยว่า ทราบจากตำรวจญี่ปุ่นว่า พล.ต.ท.คำรณวิทย์ อ้างว่าไม่ได้มีเจตนานำอาวุธปืนขึ้นเครื่องบิน ซึ่งปืนกระบอกนี้ตนเองกำลังหาอยู่ แต่ไม่คิดว่าจะอยู่ในกระเป๋ายาที่ใส่ไว้ในกระเป๋าสัมภาระ อย่างไรก็ตาม ทางตำรวจญี่ปุ่นได้นำอาวุธปืนนอร์ธอเมริกัน.22 กระบอกดังกล่าว ส่งไปยังสำนักงานพิสูจน์หลักฐาน เพื่อทดสอบอานุภาพ และตรวจสอบว่าถูกต้องตามกฎหมายไทยหรือไม่ เพื่อเสนอให้อัยการญี่ปุ่นพิจารณาประกอบสำนวนว่าจะสั่งฟ้องหรือไม่
แหล่งข่าวเปิดเผยด้วยว่า ในประเทศญี่ปุ่นกฎหมายเกี่ยวกับอาวุธปืนมีโทษหนัก ประชาชนไม่สามารถที่จะพกพาหรือมีไว้ในความครอบครองได้ แต่จะอนุญาตให้ประชาชนในบางจังหวัดมีไว้ในความครอบครองได้ คือปืนยาวที่ใช้ล่าสัตว์และใช้ฤดูกาลล่าสัตว์เท่านั้น อีกประเภทหนึ่งคือ เป็นปืนที่ใช้สำหรับการกีฬา ส่วนกรณีของ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ แม้ว่าจะอ้างไม่มีเจตนาและลืมไว้ แต่การพกพาเข้าไปในเขตท่าอากาศยานและอยู่ระหว่างการเตรียมตัวที่จะขึ้นเครื่องบินกลับถือว่าเป็นเรื่องรุนแรงสำหรับประเทศญี่ปุ่น
รายงานข่าวระบุว่าอาวุธปืน ที่ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ครอบครองไว้และอ้างว่าเป็นของเพื่อนที่ให้มานั้น ล่าสุด พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ได้มอบหมายให้ผู้ใกล้ชิดติดต่อหาเพื่อนคนดังกล่าว เพื่อนำเอกสารการครอบครองและหมายเลขทะเบียนปืนมามอบให้กับผู้ใกล้ชิดแล้วนำมาที่ประเทศญี่ปุ่น เพื่อใช้เป็นพยานหลักฐานว่าเป็นปืนที่ถูกต้องตามกฏหมายของประเทศไทย