xs
xsm
sm
md
lg

อุทาหรณ์วิบากกรรม “บิ๊กแจ๊ส”

เผยแพร่:   โดย: พระบาท นามเมือง

หลังจากพ้นตำแหน่งราชการก็หายไปจากหน้าพื้นที่ข่าวเป็นเวลานาน สำหรับ “บิ๊กแจ๊ส” พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง อดีต ผบช.น.ผู้ฮือฮาด้วยสโลแกนส่วนตัว “มีวันนี้เพราะพี่ให้”

สโลแกนที่ทำให้ถูกวิพากษ์วิจารณ์และถูกตั้งคำถามถึงความน่าไว้ใจว่า นายตำรวจใหญ่ผู้ประกาศว่านับถือเป็นพี่ๆ น้องๆ กับผู้ต้องโทษตามกฎหมายตามคำสั่งอันเป็นที่สุดของศาล และกำลังหลบหนีคดีอยู่ เราจะเชื่อถือไว้ใจท่านได้อย่างไร

ในที่สุดเมื่อ คสช.เข้ามา ท่านก็ต้องพ้นตำแหน่งไปแบบเงียบๆ และก็เงียบไปจนกระทั่งมามีคดีนี่แหละ

เรื่องของเรื่องคือ บิ๊กแจ๊สได้เดินทางไปญี่ปุ่นพร้อมกับคณะที่ไปดูงานเกี่ยวกับโรงไฟฟ้าพลังงานขยะกับองค์กรบริหารส่วนตำบลแห่งหนึ่ง และขากลับนั่นเอง ก็ถูกทางเจ้าหน้าที่ของสนามบินนาริตะตรวจพบว่า มีปืนอยู่ในกระเป๋า จึงเรียกตำรวจมาจับกุมตัวเตรียมดำเนินคดีตามกฎหมาย ซึ่งตามกฎหมายญี่ปุ่นโทษฐานพกพาอาวุธปืนและเครื่องกระสุนค่อนข้างร้ายแรง ยิ่งมีพกอยู่คู่กันแบบที่สามารถประกอบกันแล้วยิงได้ เห็นว่ามีโทษตั้งแต่ 2 ปี ถึง 10 ปี เลยทีเดียว

ก็ต้องลุ้นกันว่า บิ๊กแจ๊สของเราจะได้นอนคุกญี่ปุ่นไหม เพราะตอนนี้ถูกควบคุมตัวตามคำสั่งอัยการอยู่ รอว่าจะมีคำสั่งฟ้องหรือไม่น่าจะภายในวันนี้หรือสัปดาห์นี้ ทั้งนี้ทางการไทย ทั้งทางตำรวจและกระทรวงการต่างประเทศก็พยายามช่วยกันเต็มที่

เนื่องจากไม่ว่าจะอย่างไร ก็ถือว่าเป็นกรณีของอดีตข้าราชการตำรวจระดับสูงของไทยไปถูกจับที่ญี่ปุ่น จะชั่วจะดีอย่างไรก็กระทบกระเทือนต่อเครดิตของประเทศและข้าราชการไทย
เพราะตอนนี้สื่อโทรทัศน์ญี่ปุ่นก็ทำข่าวใหญ่โต มีภาพของบิ๊กแจ๊สเผยแพร่ภาพถูกใส่เสื้อคลุมมีฮู้ดและปกปิดข้อมือไว้ ซึ่งถ้าใครเคยดูหนังหรือซีรีย์ญี่ปุ่นคงนึกออกว่า เป็นชุดสำหรับผู้ต้องหาที่ตามธรรมเนียมเขาจะทำการปิดคลุมกุญแจมือและเครื่องพันธนาการอื่น เนื่องจากเป็นการให้เกียรติและเคารพสิทธิ เนื่องจากตามหลักแล้วยังถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่จนกว่าจะมีคำพิพากษาของศาล ซึ่งสวนทางกับข่าวที่ออกมาในครั้งแรกว่า เคลียร์กันได้ ชี้แจงได้แล้วทางการญี่ปุ่นไม่เอาเรื่อง ได้รับการปล่อยตัวออกมานั่งกินข้าวกันแล้ว คนให้ข่าวคงไม่ทราบว่าทางการญี่ปุ่นเขาเข้มงวดจริงกับกฎหมาย ใหญ่หรือเคยใหญ่มาแค่ไหนก็ไป “คุย” หรือเกี๊ยะเซี้ยกันไม่ได้

คำถามที่ย้อนกลับมาก็คือว่า พล.ต.ท.คำรณวิทย์ เอาปืนออกไปนอกประเทศได้อย่างไร

แม้ในภาพจะเป็นปืนที่มีขนาดเล็กมาก เล็กเท่าฝ่ามือ ซึ่งหากกล่าวกันอย่างยุติธรรมแล้วก็พอจะเชื่อได้ว่าลืมจริงๆ ว่ามีปืนนี้ติดตัวไปด้วย เหมือนที่หลายท่านก็เคยลืมพวกยาสีฟัน ขวดของเหลวเล็กๆ มีดพับสวิส ของแหลมมีคมเล็กๆ ต่างๆ จนไปถูกตรวจพบที่จุดเช็กอินของสนามบิน ต้องเอาทิ้งลงในถังให้เป็นที่เสียดาย

ทางสนามบินไทยออกมาให้ข่าวว่า ไม่มีการตรวจพบว่ามีอาวุธปืนดังกล่าวอยู่ในกระเป๋าทั้งที่ใส่ไว้ในกระเป๋าที่โหลดขึ้นเครื่อง และกระเป๋าที่พกติดตัว และยืนยันว่าได้มีการตรวจค้น พล.ต.ท.คำรณวิทย์ อย่างละเอียดแล้วด้วย

อย่างไรก็ตาม การให้ข่าวเช่นนี้ก็ไม่เป็นผลดีนัก นอกจากถูกประชาชนโห่ฮาล้อเลียนกันในโซเชียลเน็ตเวิร์กว่า ทีครีมล้างหน้าหลอดเดียว หรือมีดพับอันเท่านิ้วก้อยยังตรวจพบได้ และบังคับให้ทิ้งกันก่อนขึ้นเครื่องแล้ว นี่ปืนทั้งกระบอก ถึงจะเล็กแต่ก็ใหญ่กว่ามีดกับโฟมล้างหน้าเป็นไหนๆ ทำไมยังตรวจไม่พบได้ และยังเป็นการทำให้ภาพลักษณ์เรื่องความปลอดภัยในทางการบินของประเทศมีปัญหาด้วย จากเดิมที่โดน ICAO ประกาศปักธงแดงว่าระบบการควบคุมความปลอดภัยของไทยไม่ได้มาตรฐานไปแล้ว ก็อาจจะยิ่งถูกตั้งคำถามเข้าไปอีก ซึ่งนี่ถือเป็นผลกระทบทางอ้อมที่ไม่ค่อยจะดีนักสำหรับธุรกิจการบินและการสนามบินของไทย

เห็นว่าทางสื่อมวลชนญี่ปุ่นก็มีการตั้งข้อสงสัยว่า เพราะเป็น VIP ของประเทศไทย ก็เลยไม่มีการตรวจสอบโดยละเอียด หรือผ่านช่อง VIP หรือประเภท Fast Track ออกมาหรือไม่ นั่นก็เป็นเรื่องที่ทางการไทยต้องหาข้อมูลกันต่อไป

ส่วนทางคดีที่ญี่ปุ่นก็คงจะต้องให้บิ๊กแจ๊สต่อสู้คดีกันต่อไป โดยทางการไทยก็คงต้องให้ความช่วยเหลือกันตามสมควร เพราะอย่างที่ได้กล่าวไว้ว่า ถึงอย่างไรก็เป็นอดีตข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ของไทย ไปโดนอะไรแบบนี้ที่ต่างบ้านต่างเมืองก็น่าเห็นใจอยู่ ซึ่งก็เป็นบทเรียนและอุทาหรณ์ให้คนไทยว่า ในต่างประเทศนั้น ต้องเข้าใจว่ากฎหมายของเขาเป็นกฎหมายที่เคร่งครัด หรือบางประเทศนั้นบางเรื่องที่บ้านเราเป็นเรื่องขำๆ ไม่มีการลงโทษอะไรรุนแรง แต่ในต่างประเทศที่เขาซีเรียสก็เป็นเรื่องได้

โดยเฉพาะที่ญี่ปุ่นซึ่งตอนหลังได้ยกเลิกวีซ่าให้คนไทยไปเที่ยวญี่ปุ่นได้ระยะสั้นอย่างเสรี ทำให้มีคนไปเที่ยวญี่ปุ่นมากกว่าเชียงใหม่หรือภูเก็ตเสียอีกในวันหยุดยาวที่ผ่านมา แต่ก็ปรากฏว่ามีกรณีที่คนไทยไปมีปัญหากับกฎหมายที่นั่นอยู่เหมือนกัน จนสถานทูตไทยในญี่ปุ่นต้องออกมาเตือนว่า อย่าได้คิดขโมยของในประเทศญี่ปุ่นเลยทีเดียว ไม่ว่าจะชิ้นเล็กชิ้นใหญ่ มีราคาหรือไม่แค่ไหน เพราะกฎหมายที่นั่น ลักทรัพย์ยอมความไม่ได้ คือยอมความไม่ได้จริงๆ ไม่เหมือนในเมืองไทยที่พอจะคุยกับเจ้าทรัพย์ได้ปรับ 10 เท่าแล้วไม่ส่งตำรวจดำเนินคดีก็ตาม เพราะมีสุภาพสตรีจากประเทศไทย ไปเที่ยวและซื้อของที่ระลึก เกิดมือไวกับความคิดชั่วแล่น ขโมยตุ๊กตาตัวเล็กๆ ออกมา แต่ไม่พ้นสายตาพนักงาน ถูกจับส่งฟ้องศาล แทนที่จะได้กลับบ้าน ตอนนี้ก็ยังต้องติดคุกอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่น ทั้งๆ ที่ไปเที่ยวดีๆ แท้เชียว

เรื่องนี้ต้องระวังให้มากว่าบางครั้งระบบระเบียบบางอย่างของไทยที่ย่อหย่อน อาจจะทำให้เราเห็นว่าการกระทำผิดตามกฎหมายนั้นเป็นเรื่องธรรมดา จนเผลอติดนิสัยไปทำความผิดในประเทศที่กฎหมายกฎระเบียบเขาเข้มงวดกว่า ก็มานั่งเสียใจว่า ไม่น่าเลย เรื่องเล็กๆ แค่นี้ ต้องถูกลงโทษรุนแรงจนไม่คุ้มกัน รวมถึงการลดขั้นตอนอำนวยความสะดวกให้บรรดา VIP ทั้งหลายในหลายๆ เรื่อง จนอาจจะทำให้ VIP เมืองไทยหลายคน (ไม่เฉพาะกรณีนี้เท่านั้น) อาจจะเผลอไป และลืมว่าเมื่อออกนอกประเทศไปแล้ว คุณก็เป็นแค่คนต่างชาติคนหนึ่งที่จะไม่มีใครเขามาเลือกปฏิบัติหรือหยวนๆ ให้คุณเหมือนตอนอยู่ในแผ่นดินแม่.
กำลังโหลดความคิดเห็น