นายภัทรศักดิ์ วรรณแสง เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม แถลงความเห็นของที่ประชุมของคณะกรรมการตุลาการและคณะกรรมการบริหารงานยุติธรรม ประกอบด้วยผู้พิพากษารวม 427 คน มีความเห็นต่างต่อร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ในหลายมาตราที่สำคัญ อาทิ มาตรา 225 ว่าด้วยการบริหารงานบุคคลของผู้พิพากษา หรือตุลาการ ที่กำหนดให้มีผู้ทรงคุณวุฒิที่ไม่เคยเป็นผู้พิพากษา และไม่เป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของกรรมการหรือผู้พิพากษาของศาลนั้น จากรัฐธรรมนูญเดิมกำหนดให้มีผู้ทรงคุณวุฒิ 2 คนจากทั้งหมด 15 คน ถือเป็นการกำหนดสัดส่วนที่อาจให้เกิดการแทรกแซงการบริหารงานบุคคล และกระทบต่ออิสระของผู้พิพากษา เพราะสามารถให้คุณให้โทษผู้พิพากษาได้ ที่สำคัญ ยังไม่ได้กำหนดที่มาของผู้ทรงคุณวุฒิที่ชัดเจน หากต่อไปฝ่ายการเมืองเข้าแก้ไขกฎหมายพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ก็อาจกระทบต่อการทำงานของผู้พิพากษาได้ รวมถึงวาระการดำรงตำแหน่งก็ไม่ควรมีเพียงวาระเดียว เนื่องจากหากมีประสบการณ์ต่อเนื่อง ย่อมมีประโยชน์ต่อราชการมากกว่า
นอกจากนี้ ยังมีอีกหลายมาตรา เช่น มาตรา 218 ว่าด้วยการกำหนดกรอบระยะเวลากระบวนวิธีพิจารณา มาตรา 219 หลักประกันความอิสระของผู้พิพากษา มาตรา 222 การวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล มาตรา 226 อายุของผู้พิพากษา มาตรา 241 อำนาจพิพากษาคดีเกี่ยวกับการเลือกตั้งและการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง และมาตรา 240 คดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ที่ควรกำหนดให้สอดคล้องกับกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมือง โดยควรระบุแนวทางให้ชัดเจนถึงการอุทธรณ์ ที่สามารถทำได้อย่างน้อย 1 ชั้น
ทั้งนี้ ศาลยุติธรรมขอใช้สิทธิในการแสดงความเห็นเรื่องดังกล่าว เนื่องจากยังมีเวลาในการแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญ พร้อมยืนยันไม่ใช่ความขัดแย้งระหว่างหน่วยงาน แต่เป็นความเห็นในเชิงวิชาการ โดยหลังจากนี้ สำนักงานศาลยุติธรรมจะทำหนังสือถึงผู้เกี่ยวข้องคือ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และคณะรัฐมนตรี ซึ่งมีหน้าที่เสนอความเห็นต่อสภาปฏิรูปแห่งชาติ เพื่อพิจารณาต่อไป
นอกจากนี้ ยังมีอีกหลายมาตรา เช่น มาตรา 218 ว่าด้วยการกำหนดกรอบระยะเวลากระบวนวิธีพิจารณา มาตรา 219 หลักประกันความอิสระของผู้พิพากษา มาตรา 222 การวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล มาตรา 226 อายุของผู้พิพากษา มาตรา 241 อำนาจพิพากษาคดีเกี่ยวกับการเลือกตั้งและการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง และมาตรา 240 คดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ที่ควรกำหนดให้สอดคล้องกับกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมือง โดยควรระบุแนวทางให้ชัดเจนถึงการอุทธรณ์ ที่สามารถทำได้อย่างน้อย 1 ชั้น
ทั้งนี้ ศาลยุติธรรมขอใช้สิทธิในการแสดงความเห็นเรื่องดังกล่าว เนื่องจากยังมีเวลาในการแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญ พร้อมยืนยันไม่ใช่ความขัดแย้งระหว่างหน่วยงาน แต่เป็นความเห็นในเชิงวิชาการ โดยหลังจากนี้ สำนักงานศาลยุติธรรมจะทำหนังสือถึงผู้เกี่ยวข้องคือ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และคณะรัฐมนตรี ซึ่งมีหน้าที่เสนอความเห็นต่อสภาปฏิรูปแห่งชาติ เพื่อพิจารณาต่อไป