วันนี้ (19ก.พ.) ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดอ่านคำพิพากษา คดีหมายเลขดำ อ.1252/2556 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 10 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง บริษัท ไทยเดย์ ด็อทคอม จำกัด โดยนายพชร สมุทวณิช และนายขุนทอง ลอเสรีวานิช กรรมการผู้มีอำนาจ บริษัท เอเอสทีวี (ประเทศไทย) จำกัด โดยนายปัญจภัทร อังคสุวรรณ และนายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ กรรมการผู้มีอำนาจ และนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เป็นจำเลย ที่ 1-3 ในความผิดฐานร่วมกันหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณาด้วยเอกสาร การกระจายเสียงหรือภาพ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 และ 328 กรณีปราศรัยหมิ่น พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งจำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธ
คำฟ้องระบุพฤติการณ์สรุปว่า เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2551 เวลากลางคืน นายสนธิ แกนนำพันธมิตรฯ จำเลยที่ 3 ได้ขึ้นปราศรัยบนเวทีพันธมิตรฯ บริเวณทำเนียบรัฐบาล ผ่านเครื่องขยายเสียง ให้ผู้ชุมนุมจำนวนมากฟังทำนองว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จาบจ้วงสถาบัน และพยายามซื้อรากหญ้า ยึดตำรวจ และเอาเงินไปจ่ายให้ทหารบางคนเพื่อให้สถาบันกษัตริย์อ่อนแอ ทำลายรากฐานของกษัตริย์ โดยมีจำเลยที่ 1-2 เป็นผู้ถ่ายทอดสัญญาณภาพและเสียงผ่านสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมเอเอสทีวี และเว็บไซต์ผู้จัดการ ซึ่งข้อความที่นายสนธิ กล่าว ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ผู้เสียหาย เสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง โดยเหตุเกิดที่ แขวงและเขตดุสิต กรุงเทพมหานคร และทุกท้องที่ทั่วราชอาณาจักรไทย
สำหรับคดีหมิ่นประมาทฯ ทั้ง 2 สำนวนดังกล่าว น.ส.พวงทิพย์ บุญสนอง ทนายความ ได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์ เป็นกรมธรรม์ประกันอิสรภาพ ของบริษัทวิริยะ ประกันภัย จำกัด ขอปล่อยชั่วคราวจำเลยทั้งหมดวงเงินรายละ 200,000 บาท ซึ่งศาลพิจารณาแล้วอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวจำเลยทั้งหมดได้ โดยตีราคาประกันคนละ 200,000 บาท
ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานแล้วเห็นว่า คดีนี้ฝ่ายโจทก์ไม่ได้นำสืบให้เห็นอย่างชัดเจนว่า บริษัท ไทยเดย์ ด็อทคอม จำกัด จำเลยที่ 1 และ บริษัท เอเอสทีวี (ประเทศไทย) จำกัด จำเลย 2 ได้ร่วมกับนายสนธิ จำเลยที่ 3 กระทำการหมิ่นประมาท พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จึงพิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 1 และ 2
ศาลพิจารณาว่า เมื่อปี 2551 มีการชุมนุมทางการเมืองของทั้ง 2 ฝ่าย ซึ่งอัยการได้คัดคำปราศรัยหมิ่นประมาท 3 ตอน ของนายสนธิ ส่งฟ้องศาล แต่ไม่สามารถนำสืบได้ว่าตอนที่ 1-2 เป็นการหมิ่นประมาท พ.ต.ท.ทักษิณ โดยตรง ส่วนตอนที่ 3 แม้อาจเข้าข่ายการหมิ่นประมาทจริง แต่หากพิจารณาถึงเหตุการณ์ในขณะนั้น ที่แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) อาทิ นายจตุพร พรหมพันธ์ และนางดารณี ชาญเชิงศิลปกุล หรือ ดา ตอร์ปิโด มีพฤติกรรมที่เชื่อได้ว่าเป็นการก้าวล่วงสถาบันจริง แม้เป็นการกล่าวหาแต่ถือเป็นการทำไปเพื่อปกป้องสถาบัน ศาลจึงพิพากษายกฟ้อง ให้จำเลยทั้งหมดไม่มีความผิด
คำฟ้องระบุพฤติการณ์สรุปว่า เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2551 เวลากลางคืน นายสนธิ แกนนำพันธมิตรฯ จำเลยที่ 3 ได้ขึ้นปราศรัยบนเวทีพันธมิตรฯ บริเวณทำเนียบรัฐบาล ผ่านเครื่องขยายเสียง ให้ผู้ชุมนุมจำนวนมากฟังทำนองว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จาบจ้วงสถาบัน และพยายามซื้อรากหญ้า ยึดตำรวจ และเอาเงินไปจ่ายให้ทหารบางคนเพื่อให้สถาบันกษัตริย์อ่อนแอ ทำลายรากฐานของกษัตริย์ โดยมีจำเลยที่ 1-2 เป็นผู้ถ่ายทอดสัญญาณภาพและเสียงผ่านสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมเอเอสทีวี และเว็บไซต์ผู้จัดการ ซึ่งข้อความที่นายสนธิ กล่าว ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ผู้เสียหาย เสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง โดยเหตุเกิดที่ แขวงและเขตดุสิต กรุงเทพมหานคร และทุกท้องที่ทั่วราชอาณาจักรไทย
สำหรับคดีหมิ่นประมาทฯ ทั้ง 2 สำนวนดังกล่าว น.ส.พวงทิพย์ บุญสนอง ทนายความ ได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์ เป็นกรมธรรม์ประกันอิสรภาพ ของบริษัทวิริยะ ประกันภัย จำกัด ขอปล่อยชั่วคราวจำเลยทั้งหมดวงเงินรายละ 200,000 บาท ซึ่งศาลพิจารณาแล้วอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวจำเลยทั้งหมดได้ โดยตีราคาประกันคนละ 200,000 บาท
ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานแล้วเห็นว่า คดีนี้ฝ่ายโจทก์ไม่ได้นำสืบให้เห็นอย่างชัดเจนว่า บริษัท ไทยเดย์ ด็อทคอม จำกัด จำเลยที่ 1 และ บริษัท เอเอสทีวี (ประเทศไทย) จำกัด จำเลย 2 ได้ร่วมกับนายสนธิ จำเลยที่ 3 กระทำการหมิ่นประมาท พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จึงพิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 1 และ 2
ศาลพิจารณาว่า เมื่อปี 2551 มีการชุมนุมทางการเมืองของทั้ง 2 ฝ่าย ซึ่งอัยการได้คัดคำปราศรัยหมิ่นประมาท 3 ตอน ของนายสนธิ ส่งฟ้องศาล แต่ไม่สามารถนำสืบได้ว่าตอนที่ 1-2 เป็นการหมิ่นประมาท พ.ต.ท.ทักษิณ โดยตรง ส่วนตอนที่ 3 แม้อาจเข้าข่ายการหมิ่นประมาทจริง แต่หากพิจารณาถึงเหตุการณ์ในขณะนั้น ที่แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) อาทิ นายจตุพร พรหมพันธ์ และนางดารณี ชาญเชิงศิลปกุล หรือ ดา ตอร์ปิโด มีพฤติกรรมที่เชื่อได้ว่าเป็นการก้าวล่วงสถาบันจริง แม้เป็นการกล่าวหาแต่ถือเป็นการทำไปเพื่อปกป้องสถาบัน ศาลจึงพิพากษายกฟ้อง ให้จำเลยทั้งหมดไม่มีความผิด