ราคาน้ำมันที่ลดลงอย่างรุนแรง ฉุดหุ้นกลุ่มบริษัทเชื้อเพลิงและแก๊สในวอลล์สตรีทปรับลดตามไปด้วยในวันศุกร์(28พ.ย.) ส่งผลให้ดัชนีเอสแอนด์พี500 ปิดลบในกรอบแคบๆ ท่ามกลางการซื้อขายที่เบาบาง
ดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 0.49 จุด (0.00 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 17,828.24 จุด เอสแอนด์พี ลดลง 5.27 จุด (0.25 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 2,067.56 จุด แนสแดค เพิ่มขึ้น 4.31 จุด (0.09 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 4,791.63 จุด
หุ้นกลุ่มค้าปลีกดีดตัวขึ้น และช่วยหนุนดัชนีดาวโจนส์ปิดในแดนบวก โดยหุ้นวอล-มาร์ท พุ่งขึ้น 3.02% หลังจากบริษัทใช้กลยุทธ์ปรับลดราคาสินค้าเพื่อดึงดูดผู้บริโภค ซึ่งส่งผลให้ยอดขายของบริษัทปรับตัวสูงขึ้น ขณะที่หุ้นบริษัทค้าปลีกรายอื่นๆ รวมถึงทาร์เก็ต เมซี และเจซี เพนนี ต่างก็ปิดตลาดปรับตัวขึ้นเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ตลาดได้รับแรงกดดันจากการร่วงลงของหุ้นกลุ่มพลังงาน หลังจากราคาน้ำมันดิบร่วงลงอย่างหนัก ภายหลังจากที่กลุ่มโอเปคมีมติคงเพดานการผลิตในการประชุมล่าสุด โดยหุ้นเชฟรอน และหุ้นเอ็กซอนโมบิล ต่างก็ปรับตัวลดลง
ทั้งนี้ กลุ่มโอเปคมีมติคงเพดานการผลิตน้ำมันไว้ที่ 30 ล้านบาร์เรลต่อวัน แม้ว่าตลาดโลกอยู่ในภาวะที่มีอุปทานน้ำมันมากเกินไปก็ตาม โดยที่ผ่านมานั้น สมาชิกกลุ่มโอเปคยังคงมีมุมมองที่แตกต่างกันเกี่ยวกับเพดานการผลิตน้ำมัน โดยเวเนซูเอล่าและอิหร่านต่างก็ส่งสัญญาณว่าโอเปคควรจะปรับลดการผลิต ในขณะที่ซาอุดิอาระเบียซึ่งเป็นผู้ผลิตน้ำมันดิบรายใหญ่ของกลุ่มโอเปคนั้น สนับสนุนให้มีการปรับลดราคาน้ำมันเพื่อเพิ่มส่วนแบ่งตลาด แทนการปรับลดการผลิต
แต่ถึงกระนั้นก็ตาม การร่วงลงของราคาน้ำมันได้ช่วยหนุนหุ้นกลุ่มสายการบินพุ่งขึ้น นำโดยหุ้นเซาท์เวสต์ แอร์ไลน์ส พุ่งขึ้น 21% และหุ้นเดลต้า แอร์ไลน์ ทะยานขึ้น 16%
นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์หน้า รวมถึงดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเดือนพ.ย., ตัวเลขจ้างงานเดือนพ.ย.จาก ADP, ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการเดือนพ.ย., รายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจ หรือ Beige Book จากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด), จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกรายสัปดาห์ และตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรเดือนพ.ย.
ดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 0.49 จุด (0.00 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 17,828.24 จุด เอสแอนด์พี ลดลง 5.27 จุด (0.25 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 2,067.56 จุด แนสแดค เพิ่มขึ้น 4.31 จุด (0.09 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 4,791.63 จุด
หุ้นกลุ่มค้าปลีกดีดตัวขึ้น และช่วยหนุนดัชนีดาวโจนส์ปิดในแดนบวก โดยหุ้นวอล-มาร์ท พุ่งขึ้น 3.02% หลังจากบริษัทใช้กลยุทธ์ปรับลดราคาสินค้าเพื่อดึงดูดผู้บริโภค ซึ่งส่งผลให้ยอดขายของบริษัทปรับตัวสูงขึ้น ขณะที่หุ้นบริษัทค้าปลีกรายอื่นๆ รวมถึงทาร์เก็ต เมซี และเจซี เพนนี ต่างก็ปิดตลาดปรับตัวขึ้นเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ตลาดได้รับแรงกดดันจากการร่วงลงของหุ้นกลุ่มพลังงาน หลังจากราคาน้ำมันดิบร่วงลงอย่างหนัก ภายหลังจากที่กลุ่มโอเปคมีมติคงเพดานการผลิตในการประชุมล่าสุด โดยหุ้นเชฟรอน และหุ้นเอ็กซอนโมบิล ต่างก็ปรับตัวลดลง
ทั้งนี้ กลุ่มโอเปคมีมติคงเพดานการผลิตน้ำมันไว้ที่ 30 ล้านบาร์เรลต่อวัน แม้ว่าตลาดโลกอยู่ในภาวะที่มีอุปทานน้ำมันมากเกินไปก็ตาม โดยที่ผ่านมานั้น สมาชิกกลุ่มโอเปคยังคงมีมุมมองที่แตกต่างกันเกี่ยวกับเพดานการผลิตน้ำมัน โดยเวเนซูเอล่าและอิหร่านต่างก็ส่งสัญญาณว่าโอเปคควรจะปรับลดการผลิต ในขณะที่ซาอุดิอาระเบียซึ่งเป็นผู้ผลิตน้ำมันดิบรายใหญ่ของกลุ่มโอเปคนั้น สนับสนุนให้มีการปรับลดราคาน้ำมันเพื่อเพิ่มส่วนแบ่งตลาด แทนการปรับลดการผลิต
แต่ถึงกระนั้นก็ตาม การร่วงลงของราคาน้ำมันได้ช่วยหนุนหุ้นกลุ่มสายการบินพุ่งขึ้น นำโดยหุ้นเซาท์เวสต์ แอร์ไลน์ส พุ่งขึ้น 21% และหุ้นเดลต้า แอร์ไลน์ ทะยานขึ้น 16%
นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์หน้า รวมถึงดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเดือนพ.ย., ตัวเลขจ้างงานเดือนพ.ย.จาก ADP, ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการเดือนพ.ย., รายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจ หรือ Beige Book จากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด), จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกรายสัปดาห์ และตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรเดือนพ.ย.