ทัพอิรักสามารถรุกคืบต่อไปในวันอังคาร (2 ก.ย.) โดยเข้ายึดคืนบางส่วนของทางหลวงสายสำคัญที่เชื่อมกรุงแบกแดดกับพื้นที่ภาคเหนือของประเทศ ขณะที่องค์การนิรโทษกรรมสากลระบุ มีหลักฐานใหม่ยืนยันว่า กลุ่มนักรบญิฮัด “รัฐอิสลาม” (ไอเอส) มีพฤติการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชนกลุ่มน้อยในอิรัก ส่วนทางด้านคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งยูเอ็น ก็มีมติส่งทีมงานสอบสวนเข้าสอบสวนการกระทำของไอเอสในอิรัก
กองทัพอิรักที่ได้รับการสนับสนุนจากกองกำลังอาวุธท้องถิ่นกลุ่มต่างๆ ยังคงรุกไล่ขึ้นเหนือ หลังจากผลักดันนักรบญิฮัดกลุ่มไอเอส ออกไปจากเมืองอเมอร์ลี ที่ประชาชนส่วนใหญ่เป็นชาวเติร์กเมนที่นับถือนิกายชีอะห์ได้สำเร็จเมื่อวันอาทิตย์ (31 ส.ค.) โดยได้รับการสนับสนุนจากกองกำลังชาวเคิร์ดและการโจมตีทางอากาศของสหรัฐฯ
ขณะเดียวกัน ฟลาเวีย แพนเซียรี รองข้าหลวงใหญ่ด้านสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็น) แถลงว่า ไอเอสกระทำการป่าเถื่อนเกินจินตนาการ นับจากบุกยึดพื้นที่กว้างขวางของชาวอาหรับนิกายสุหนี่บริเวณถัดขึ้นไปทางเหนือจากกรุงแบกแดดในเดือนมิถุนายน และยกพลเข้าสู่ดินแดนของชนกลุ่มน้อยชาวคริสต์และชาวยาซิดีเมื่อเดือนที่แล้ว
ด้วยเหตุนี้ คณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งยูเอ็นจึงมีฉันทามติให้ส่งคณะเจ้าหน้าที่ฉุกเฉินเข้าไปสอบสวนการกระทำโหดร้ายของไอเอสในอิรัก
ความเคลื่อนไหวคราวนี้ได้รับการขานรับจาก โดนาเทลลา โรเวอรา ที่ปรึกษาอาวุโสส่วนงานรับมือวิกฤตขององค์การนิรโทษกรรมสากล ที่กล่าวหาว่า นักรบญิหาดกลุ่มไอเอสได้ก่ออาชญากรรมสงคราม ซึ่งรวมถึงการสังหารหมู่และการลักพาตัวทั่วอิรัก
องค์การนิรโทษกรรมสากลยังระบุในรายงานที่นำออกเผยแพร่วันอังคาร (2) ว่า มีหลักฐานใหม่ที่ยืนยันการสังหารหมู่ในหลายพื้นที่ในเมืองซินจาร์ ทางเหนือของอิรักในเดือนที่ผ่านมา โดยเฉพาะในวันที่ 3 และ 15 ส.ค. ที่ไอเอสบุกเข้าไปในหมู่บ้านต่างๆ และสังหารประชาชนนับร้อยทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ตามเป้าหมายในการทำลายล้างเผ่าพันธุ์ที่ไม่ใช่อาหรับและไม่ใช่ชาวมุสลิมที่นับถือนิกายสุหนี่
กองทัพอิรักที่ได้รับการสนับสนุนจากกองกำลังอาวุธท้องถิ่นกลุ่มต่างๆ ยังคงรุกไล่ขึ้นเหนือ หลังจากผลักดันนักรบญิฮัดกลุ่มไอเอส ออกไปจากเมืองอเมอร์ลี ที่ประชาชนส่วนใหญ่เป็นชาวเติร์กเมนที่นับถือนิกายชีอะห์ได้สำเร็จเมื่อวันอาทิตย์ (31 ส.ค.) โดยได้รับการสนับสนุนจากกองกำลังชาวเคิร์ดและการโจมตีทางอากาศของสหรัฐฯ
ขณะเดียวกัน ฟลาเวีย แพนเซียรี รองข้าหลวงใหญ่ด้านสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็น) แถลงว่า ไอเอสกระทำการป่าเถื่อนเกินจินตนาการ นับจากบุกยึดพื้นที่กว้างขวางของชาวอาหรับนิกายสุหนี่บริเวณถัดขึ้นไปทางเหนือจากกรุงแบกแดดในเดือนมิถุนายน และยกพลเข้าสู่ดินแดนของชนกลุ่มน้อยชาวคริสต์และชาวยาซิดีเมื่อเดือนที่แล้ว
ด้วยเหตุนี้ คณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งยูเอ็นจึงมีฉันทามติให้ส่งคณะเจ้าหน้าที่ฉุกเฉินเข้าไปสอบสวนการกระทำโหดร้ายของไอเอสในอิรัก
ความเคลื่อนไหวคราวนี้ได้รับการขานรับจาก โดนาเทลลา โรเวอรา ที่ปรึกษาอาวุโสส่วนงานรับมือวิกฤตขององค์การนิรโทษกรรมสากล ที่กล่าวหาว่า นักรบญิหาดกลุ่มไอเอสได้ก่ออาชญากรรมสงคราม ซึ่งรวมถึงการสังหารหมู่และการลักพาตัวทั่วอิรัก
องค์การนิรโทษกรรมสากลยังระบุในรายงานที่นำออกเผยแพร่วันอังคาร (2) ว่า มีหลักฐานใหม่ที่ยืนยันการสังหารหมู่ในหลายพื้นที่ในเมืองซินจาร์ ทางเหนือของอิรักในเดือนที่ผ่านมา โดยเฉพาะในวันที่ 3 และ 15 ส.ค. ที่ไอเอสบุกเข้าไปในหมู่บ้านต่างๆ และสังหารประชาชนนับร้อยทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ตามเป้าหมายในการทำลายล้างเผ่าพันธุ์ที่ไม่ใช่อาหรับและไม่ใช่ชาวมุสลิมที่นับถือนิกายสุหนี่