เมื่อเวลา 09.30 น. ที่ห้องพิจารณา 904 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คดีหมายเลขดำ อ.3020/2550 ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร อดีตภริยา พ.ต.ท.ทักษิณ ร่วมกันเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายนาม ยิ้มแย้ม อดีตประธานคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) กับพวกรวม 11 คน ซึ่งเป็นอดีต คตส. เป็นจำเลยในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด และกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ 200
คดีนี้โจทก์ยื่นฟ้องระบุว่า เมื่อระหว่างวันที่ 14 พฤษภาคม - 21 มิถุนายน 2550 จำเลยทั้ง 11 คน ได้รับแต่งตั้งและมีอำนาจหน้าที่ตามประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) และพวกจำเลย ได้อาศัยอำนาจหน้าที่ในฐานะเป็นคณะกรรมการตรวจสอบการทุจริต โดยเจตนากลั่นแกล้งโจทก์ทั้งสองให้ตกเป็นจำเลยต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง คดีซื้อขายที่ดินย่าน ถ.รัชดาภิเษก ให้โจทก์ต้องได้รับความเสียหาย เป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริง เพื่อกลั่นแกล้งให้โจทก์ทั้งสองต้องรับโทษจำคุก ถูกริบทรัพย์สิน เหตุเกิดที่แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กทม.
คดีนี้ศาลชั้นต้นพิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์ในชั้นไต่สวนมูลฟ้องโจทก์แล้ว มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2550 ว่า แม้โจทก์จะยื่นฟ้องต่อศาล ก่อนที่จะมี พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติม ตามประกาศ คปค.ฉบับที่ 30 จะมีผลบังคับใช้ แต่การที่จำเลยยื่นฟ้อง คตส.ในความผิดดังกล่าวนั้น ความจริงแล้วโจทก์ทั้งสองต้องไปยื่นฟ้องจำเลยต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เนื่องจากศาลอาญาไม่มีอำนาจรับคดีไว้พิจารณา จึงพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสองยื่นอุทธรณ์ ขอให้ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้ศาลชั้นต้นรับคดีโจทก์ไว้พิจารณาด้วย อย่างไรก็ตาม ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น โจทก์ทั้งสองยื่นฎีกาอีก ศาลฎีกาตรวจประชุมตรวจสำนวนปรึกษากันแล้ว เห็นว่าภายหลังได้มีการยึดอำนาจ คปค.ได้ออกประกาศและแต่งตั้งจำเลยทั้ง 11 คน เป็น คตส.ให้มีหน้าที่ตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ โดยให้ถือการปฏิบัติหน้าที่ของ คตส.เสมือนกับการปฏิบัติหน้าที่ของ ป.ป.ช.ซึ่งประกาศ คปค.ฉบับที่ 30 ข้อ 10 วรรค 1 เรื่องตรวจสอบการกระทำผิดที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐระบุไว้ หากมีการร้องเรียนการปฏิบัติหน้าที่ของ คตส.กระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการหรือการยุติธรรมให้ปฏิบัติตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ.2542 มาตรา 17 โดยประกาศดังกล่าวถือเป็นวิธีซึ่งใช้บังคับได้ทันที หากมีการกล่าวหา คตส.และ ป.ป.ช.กระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ 200 ก็จะต้องดำเนินการตาม พ.ร.บ.ว่าด้วย ป.ป.ช.ฯ มาตรา 17 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ.2542 คือจะต้องยื่นเรื่องให้ ส.ส. และ ส.ว.ไม่น้อยกว่า 1 ใน 4 ของสมาชิก 2 สภาที่มีอยู่ทั้งหมด ยื่นเรื่องให้ประธานวุฒิสภา ส่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำเนินตำแหน่งทางการเมืองวินิจฉัย ซึ่งหากศาลฎีกาฯ รับเรื่องไว้แล้ว คตส.หรือ ป.ป.ช.จะต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่โดยทันทีจนกว่าศาลจะมีคำสั่งยกคำร้อง ซึ่งเจตนารมณ์ของกฎหมายกำหนดขั้นตอนดังกล่าวไว้ เพื่อไม่ให้มีการกลั่นแกล้งร้องเรียนโดยมิชอบ รวมทั้งยังให้มีการคุ้มครองประโยชน์ของสาธารณะในการที่จะให้ผู้ถูกร้องเรียนหยุดปฏิบัติหน้าที่ไว้ก่อน
ดังนั้น ตามบทบัญญัติของกฎหมายคดีที่โจทก์ฟ้องจึงไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาของศาลอาญา แต่อยู่ในอำนาจพิจารณาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ส่วนที่โจทก์อ้างว่าได้ยื่นฟ้องคดีนี้ก่อนที่ประกาศ คปค.ซึ่งมีการแก้ไขเพิ่มเติมจะบังคับใช้เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2550 จึงไม่อาจนำเอาประกาศ คปค.มาบังคับใช้ย้อนหลังได้นั้น
ศาลฎีกาเห็นว่า การแก้ไขเพิ่มเติมประกาศ คปค.ดังกล่าวเกี่ยวข้องกับวิธีดำเนินการทางกฎหมาย ไม่ใช้การแก้ไขในสาระของกฎหมายที่จะมีผลหากนำมาบังคับใช้ย้อนหลัง ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ทั้งสองฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน ให้ยกฟ้อง
ทั้งนี้ ในวันนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ได้ส่งผู้แทนมาฟังคำพิพากษาฎีกา ส่วนพวกจำเลยไม่จำต้องเดินทางมาศาล เนื่องจากคดีนี้อยู่ในชั้นไต่สวนมูลฟ้องโจทก์ว่า ศาลจะประทับรับฟ้องคดีไว้พิจารณาหรือไม่เท่านั้น
คดีนี้โจทก์ยื่นฟ้องระบุว่า เมื่อระหว่างวันที่ 14 พฤษภาคม - 21 มิถุนายน 2550 จำเลยทั้ง 11 คน ได้รับแต่งตั้งและมีอำนาจหน้าที่ตามประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) และพวกจำเลย ได้อาศัยอำนาจหน้าที่ในฐานะเป็นคณะกรรมการตรวจสอบการทุจริต โดยเจตนากลั่นแกล้งโจทก์ทั้งสองให้ตกเป็นจำเลยต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง คดีซื้อขายที่ดินย่าน ถ.รัชดาภิเษก ให้โจทก์ต้องได้รับความเสียหาย เป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริง เพื่อกลั่นแกล้งให้โจทก์ทั้งสองต้องรับโทษจำคุก ถูกริบทรัพย์สิน เหตุเกิดที่แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กทม.
คดีนี้ศาลชั้นต้นพิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์ในชั้นไต่สวนมูลฟ้องโจทก์แล้ว มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2550 ว่า แม้โจทก์จะยื่นฟ้องต่อศาล ก่อนที่จะมี พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติม ตามประกาศ คปค.ฉบับที่ 30 จะมีผลบังคับใช้ แต่การที่จำเลยยื่นฟ้อง คตส.ในความผิดดังกล่าวนั้น ความจริงแล้วโจทก์ทั้งสองต้องไปยื่นฟ้องจำเลยต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เนื่องจากศาลอาญาไม่มีอำนาจรับคดีไว้พิจารณา จึงพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสองยื่นอุทธรณ์ ขอให้ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้ศาลชั้นต้นรับคดีโจทก์ไว้พิจารณาด้วย อย่างไรก็ตาม ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น โจทก์ทั้งสองยื่นฎีกาอีก ศาลฎีกาตรวจประชุมตรวจสำนวนปรึกษากันแล้ว เห็นว่าภายหลังได้มีการยึดอำนาจ คปค.ได้ออกประกาศและแต่งตั้งจำเลยทั้ง 11 คน เป็น คตส.ให้มีหน้าที่ตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ โดยให้ถือการปฏิบัติหน้าที่ของ คตส.เสมือนกับการปฏิบัติหน้าที่ของ ป.ป.ช.ซึ่งประกาศ คปค.ฉบับที่ 30 ข้อ 10 วรรค 1 เรื่องตรวจสอบการกระทำผิดที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐระบุไว้ หากมีการร้องเรียนการปฏิบัติหน้าที่ของ คตส.กระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการหรือการยุติธรรมให้ปฏิบัติตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ.2542 มาตรา 17 โดยประกาศดังกล่าวถือเป็นวิธีซึ่งใช้บังคับได้ทันที หากมีการกล่าวหา คตส.และ ป.ป.ช.กระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ 200 ก็จะต้องดำเนินการตาม พ.ร.บ.ว่าด้วย ป.ป.ช.ฯ มาตรา 17 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ.2542 คือจะต้องยื่นเรื่องให้ ส.ส. และ ส.ว.ไม่น้อยกว่า 1 ใน 4 ของสมาชิก 2 สภาที่มีอยู่ทั้งหมด ยื่นเรื่องให้ประธานวุฒิสภา ส่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำเนินตำแหน่งทางการเมืองวินิจฉัย ซึ่งหากศาลฎีกาฯ รับเรื่องไว้แล้ว คตส.หรือ ป.ป.ช.จะต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่โดยทันทีจนกว่าศาลจะมีคำสั่งยกคำร้อง ซึ่งเจตนารมณ์ของกฎหมายกำหนดขั้นตอนดังกล่าวไว้ เพื่อไม่ให้มีการกลั่นแกล้งร้องเรียนโดยมิชอบ รวมทั้งยังให้มีการคุ้มครองประโยชน์ของสาธารณะในการที่จะให้ผู้ถูกร้องเรียนหยุดปฏิบัติหน้าที่ไว้ก่อน
ดังนั้น ตามบทบัญญัติของกฎหมายคดีที่โจทก์ฟ้องจึงไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาของศาลอาญา แต่อยู่ในอำนาจพิจารณาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ส่วนที่โจทก์อ้างว่าได้ยื่นฟ้องคดีนี้ก่อนที่ประกาศ คปค.ซึ่งมีการแก้ไขเพิ่มเติมจะบังคับใช้เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2550 จึงไม่อาจนำเอาประกาศ คปค.มาบังคับใช้ย้อนหลังได้นั้น
ศาลฎีกาเห็นว่า การแก้ไขเพิ่มเติมประกาศ คปค.ดังกล่าวเกี่ยวข้องกับวิธีดำเนินการทางกฎหมาย ไม่ใช้การแก้ไขในสาระของกฎหมายที่จะมีผลหากนำมาบังคับใช้ย้อนหลัง ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ทั้งสองฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน ให้ยกฟ้อง
ทั้งนี้ ในวันนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ได้ส่งผู้แทนมาฟังคำพิพากษาฎีกา ส่วนพวกจำเลยไม่จำต้องเดินทางมาศาล เนื่องจากคดีนี้อยู่ในชั้นไต่สวนมูลฟ้องโจทก์ว่า ศาลจะประทับรับฟ้องคดีไว้พิจารณาหรือไม่เท่านั้น