กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ (เพนตากอน) วางแผนลดขนาดกองทัพอเมริกันครั้งใหญ่ ซึ่งจะทำให้มีขนาดเล็กที่สุดนับตั้งแต่ช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา เป็นการสะท้อนการเปลี่ยนแปลงสำคัญภายหลังช่วงเวลากว่าหนึ่งทศวรรษของสงครามภาคพื้นดินขนาดใหญ่ในอิรักและอัฟกานิสถาน ตลอดจนเพื่อให้สอดรับกับมาตรการรัดเข็มขัดของรัฐบาลในปัจจุบัน
ชัค เฮเกล รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ กล่าวปราศรัยที่กรุงวอชิงตันเมื่อวันจันทร์ (24 ก.พ.) ว่า ถึงเวลาแล้วในการ “รีเซ็ต” กองทัพสหรัฐฯเพื่อเข้าสู่ยุคใหม่ โดยจะมีการลดกำลังทหารประจำการจากระดับ 520,000 คนในปัจจุบัน ให้เหลือ 440,000-450,000 คน เนื่องจากภายหลังสงครามในอิรักและในอัฟกานิสถาน ผู้นำทางทหารของสหรัฐฯไม่มีแผนปฏิบัติการขนาดใหญ่และยาวนานอีกต่อไป
นอกจากนั้น เพนตากอนยังเล็งลดจำนวนกองหนุนและกองกำลังรักษาดินแดนลง 5% แต่เพิ่มกำลังพลหน่วยปฏิบัติการพิเศษจาก 66,000 คน เป็น 69,700 คน
หากได้รับอนุมัติจากรัฐสภา เพนตากอนจะเริ่มดำเนินการเพื่อลดขนาดกำลังพลสู่ระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่ปี 1940 ก่อนที่กองทัพอเมริกันจะขยายกำลังพลจำนวนมากเมื่อเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 2
ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ทหารอาวุโสที่ไม่เปิดเผยนามเปิดเผยกับเอเอฟพีว่า การเสนอลดขนาดกองทัพลง 13% นี้ จะดำเนินการภายในปี 2017
เฮเกลยังระบุในการปราศรัยคราวนี้ว่า การลดขนาดกองทัพเช่นนี้ถือเป็นการสะท้อนการถอนตัวจากสงครามภาคพื้นดินที่ดำเนินมาตลอด 13 ปีที่ผ่านมาอย่างสมบูรณ์ โดยเกิดขึ้นท่ามกลางความกดดันทางการคลัง และภายหลังปฏิบัติการต่อต้านการก่อความรุนแรงที่ยาวนานหลายปีที่ส่งผลให้กำลังพลของสหรัฐฯ เพิ่มสูงสุดเป็นกว่า 566,000 คนในปี 2010
ภายหลังถอนกำลังจากอิรักในปี 2011 ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ให้คำมั่นว่า จะยุติบทบาทในการรบในอัฟกานิสถานภายในสิ้นปีนี้
นอกจากลดกำลังพลแล้ว เพนตากอนยังมีแผนปลดประจำการเครื่องบินเก่าบางรุ่น อาทิ เอ-10 “พิฆาตรถถัง” และเครื่องบินสอดแนม ยู-2 และปิดฐานทัพเพิ่มในอเมริกาเพิ่ม รวมทั้งปฏิรูประบบสวัสดิการทหาร
ทั้งนี้ เฮเกลเรียกร้องให้ชะลอการขึ้นเงินเดือนและสวัสดิการทหาร ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนเกือบครึ่งหนึ่งของงบประมาณของเพนตากอน
ทางด้าน เท็ด แฮร์ริสัน นักวิเคราะห์งบประมาณกลาโหมของกลุ่มคลังสมอง “เซนเตอร์ ฟอร์ สเตรทเทจิก แอนด์ บัดเจ็ตทารี แอสเสสเมนต์ส” มองว่า เพนตากอนเดินมาถูกทางแล้วในการปฏิรูประบบบำนาญทหาร และรักษาศรัทธาในหมู่ทหารด้วยการทำให้มั่นใจว่า กองทัพอเมริกันยังคงเป็นกองกำลังที่มีทักษะและอาวุธยุทโธปกรณ์ดีที่สุดในโลก กระนั้น แผนการเหล่านี้คงจะได้รับการต่อต้านจากรัฐสภา
ชัค เฮเกล รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ กล่าวปราศรัยที่กรุงวอชิงตันเมื่อวันจันทร์ (24 ก.พ.) ว่า ถึงเวลาแล้วในการ “รีเซ็ต” กองทัพสหรัฐฯเพื่อเข้าสู่ยุคใหม่ โดยจะมีการลดกำลังทหารประจำการจากระดับ 520,000 คนในปัจจุบัน ให้เหลือ 440,000-450,000 คน เนื่องจากภายหลังสงครามในอิรักและในอัฟกานิสถาน ผู้นำทางทหารของสหรัฐฯไม่มีแผนปฏิบัติการขนาดใหญ่และยาวนานอีกต่อไป
นอกจากนั้น เพนตากอนยังเล็งลดจำนวนกองหนุนและกองกำลังรักษาดินแดนลง 5% แต่เพิ่มกำลังพลหน่วยปฏิบัติการพิเศษจาก 66,000 คน เป็น 69,700 คน
หากได้รับอนุมัติจากรัฐสภา เพนตากอนจะเริ่มดำเนินการเพื่อลดขนาดกำลังพลสู่ระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่ปี 1940 ก่อนที่กองทัพอเมริกันจะขยายกำลังพลจำนวนมากเมื่อเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 2
ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ทหารอาวุโสที่ไม่เปิดเผยนามเปิดเผยกับเอเอฟพีว่า การเสนอลดขนาดกองทัพลง 13% นี้ จะดำเนินการภายในปี 2017
เฮเกลยังระบุในการปราศรัยคราวนี้ว่า การลดขนาดกองทัพเช่นนี้ถือเป็นการสะท้อนการถอนตัวจากสงครามภาคพื้นดินที่ดำเนินมาตลอด 13 ปีที่ผ่านมาอย่างสมบูรณ์ โดยเกิดขึ้นท่ามกลางความกดดันทางการคลัง และภายหลังปฏิบัติการต่อต้านการก่อความรุนแรงที่ยาวนานหลายปีที่ส่งผลให้กำลังพลของสหรัฐฯ เพิ่มสูงสุดเป็นกว่า 566,000 คนในปี 2010
ภายหลังถอนกำลังจากอิรักในปี 2011 ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ให้คำมั่นว่า จะยุติบทบาทในการรบในอัฟกานิสถานภายในสิ้นปีนี้
นอกจากลดกำลังพลแล้ว เพนตากอนยังมีแผนปลดประจำการเครื่องบินเก่าบางรุ่น อาทิ เอ-10 “พิฆาตรถถัง” และเครื่องบินสอดแนม ยู-2 และปิดฐานทัพเพิ่มในอเมริกาเพิ่ม รวมทั้งปฏิรูประบบสวัสดิการทหาร
ทั้งนี้ เฮเกลเรียกร้องให้ชะลอการขึ้นเงินเดือนและสวัสดิการทหาร ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนเกือบครึ่งหนึ่งของงบประมาณของเพนตากอน
ทางด้าน เท็ด แฮร์ริสัน นักวิเคราะห์งบประมาณกลาโหมของกลุ่มคลังสมอง “เซนเตอร์ ฟอร์ สเตรทเทจิก แอนด์ บัดเจ็ตทารี แอสเสสเมนต์ส” มองว่า เพนตากอนเดินมาถูกทางแล้วในการปฏิรูประบบบำนาญทหาร และรักษาศรัทธาในหมู่ทหารด้วยการทำให้มั่นใจว่า กองทัพอเมริกันยังคงเป็นกองกำลังที่มีทักษะและอาวุธยุทโธปกรณ์ดีที่สุดในโลก กระนั้น แผนการเหล่านี้คงจะได้รับการต่อต้านจากรัฐสภา